ดูเพิ่มเติมได้ใน Batman Story (ภาคหนังสือการ์ตูน) / (ภาคหนังทีวี) / ภาคหนังโรง ตอนแรก)
วอร์เนอร์ฯ ประกาศสร้างแบทแมนภาคสามโดยตั้งชื่อว่า “Batman Forever” พร้อมตั้งความหวังว่าแบทแมนจะกลับมาโกยเงินอีกครั้ง แต่แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ เมื่อมีการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่กลางคัน เดิมทีนั้นชื่อของเบอร์ตันและคีตันยังคงนอนมาในฐานะผู้กำกับและนักแสดงนำเหมือนเคย แต่เบอร์ตันประกาศถอนตัวจากโปรเจคต์นี้ซะดื้อๆ หลังจากที่มีความเห็นไม่ลงรอยกับทางผู้บริหาร โดยทางวอร์เนอร์ฯ อยากให้แบทแมนภาคนี้ดูสดใสมากขึ้น ลดความหดหู่ลงอีกหน่อย ซึ่งมันขัดแย้งกับแนวทางของเขาอย่างสิ้นเชิง แล้ว Batman Forever ก็เลยไม่มีชื่อของ ทิม เบอร์ตัน ในที่สุด ส่วนทาง ไมเคิล คีตัน ก็ถอนตัวตามออกมาอีกราย เข้าทำนองว่าลูกพี่ไปไหนผมไปด้วย เพราะทั้งเขาติดตามและโด่งดังขึ้นมาได้เพราะเบอร์ตัน ดังนั้นเมื่อเบอร์ตันถอนตัวเขาจึงถอนตามอย่างไม่ต้องคิด แต่อีกกระแสหนึ่งก็ลือว่า คีตันที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้วไม่พอใจที่บทของแบทแมนถูกลดความสำคัญลงไปมาก แล้วไปเน้นที่ตัวละครอย่าง โรบิน ทูเฟซ ริดเลอร์ ที่ล้วนแต่รับบทโดยดาราระดับแม่เหล็ก เมื่อถูกลดบทบาทลงเขาก็เลยโบกมือลาดีกว่า
ถึงจะขาดคีย์แมนคนสำคัญไปถึงสองรายแต่วอร์เนอร์ฯ ก็ไม่ง้อ โจเอล ชูมัคเกอร์ ถูกดันขึ้นมาคุมบังเหียนแทน ส่วนบทแบทแมนตกเป็นของหนุ่มรูปงามอย่าง วาล คิลเมอร์ ที่วอร์เนอร์ฯ เชื่อว่าเรียกคนดูได้มากกว่าคีตันแน่นอน โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น อีกด้านหนึ่งบรรดาวายร้ายของเรื่องก็เด่นไม่แพ้กัน ทอมมี่ ลี โจนส์ ที่เพิ่งรับออสการ์มาจาก The Fugituve มาสวมบททูเฟซ อดีตอัยการเขตที่มีความแค้นฝังลึกกับแบทแมน และบทมนุษย์เจ้าปัญหา ริดเลอร์ ก็ได้ดาราตลกหน้าเบี้ยว จิม แคร์รี่ย์ มารับไป โรบิน คู่หูของแบทแมนก็ได้ฤกษ์เปิดตัวในภาคนี้เอง และได้ คริส โอดอนเนลล์ ดาราดาวรุ่งมารับบทนี้ ส่วนผู้หญิงของแบทแมนก็ได้สาวสวย นิโคล คิดแมน มาสร้างความกระชุ่มกระชวยให้
Batman Forever ออกฉายในปี ๑๙๙๕ ได้รับการตอบรับพอสมควร ตัวหนังแตกต่างจากสองภาคแรกโดยสิ้นเชิง ความหม่นเศร้าและหดหู่ถูกกำจัดออกไปจนเกือบหมด ความขัดแย้งในตัวเองของแบทแมนถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย ความสนุกสนานไปตกอยู่กับสองตัวร้ายของเรื่องเสียมากกว่า ทั้งทูเฟซและริดเลอร์ต่างดูโดดเด่นทั้งในด้านการแสดงและเครื่องแต่งกาย หนังรวมๆ ดูแล้วเหมือนหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนทั้งกระบิ จนอาจกล่าวได้ว่าแบทแมนภาคนี้เป็นภาคที่ให้ความบันเทิงมากที่สุด รายได้ปิดตัวอยู่ที่ ๑๘๔ ล้านเหรียญเฉพาะในอเมริกาที่เดียว ซึ่งก็สูงกว่า Batman Return ส่วนรายได้ทั่วโลกปิดตัวที่ ๓๓๓ ล้านเหรียญ มากกว่าเดิมอีกเช่นกัน เมื่อหักลบต้นทุนที่ ๑๐๐ ล้านเหรียญ ก็นับว่าแบทแมนกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง (ทุนสร้าง ๑๐๐ ล้าน นั้น ต้องจ่ายเป็นค่าตัวให้ จิม แคร์รี่ย์ คนเดียว ถึง ๒๐ ล้าน!)
แน่นอนว่าภาคสี่ต้องตามมาติดๆ แต่ก็เจอปัญหาตั้งแต่เริ่มโครงการ เมื่อ วาล คิลเมอร์ โบกมือไม่เอาแล้ว มีข่าวว่าเขาไม่ค่อยพอใจตัวเลขที่วอร์เนอร์ฯ ยื่นให้ซักเท่าไหร่ และหันไปเล่นเป็นสายลับพันหน้าใน The Saint กับค่ายพาราเมาต์ดีกว่า และที่โจษจันกันกว้างขวางกว่าก็คือสงครามย่อยๆ ในกองถ่ายระหว่างคิลเมอร์กับผู้กำกับ โจเอล ชูมัคเกอร์ ข่าวว่าคิลเมอร์นั้นเล่นหนังไม่ได้เรื่องไม่เป็นที่พอใจของผู้กำกับซักเท่าไหร่ แถมยังทำตัวเรื่องมาก จนทำให้ป่วนไปทั้งกองถ่าย หน้าที่แบทแมนคนใหม่จึงตกเป็นของคุณหมอเสน่ห์แรงจากซี่รี่ส์ดัง ER จอร์จ คลูนี่ย์ ที่มีมาดสุขุม มีบุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่ จนชูมัคเกอร์ออกปากชมว่า แบทแมนที่คลูนี่ย์เล่นนั้นเป็นผู้ใหญ่สมวัย แต่แบทแมนที่คิลเมอร์เล่นนั้นเป็นแบทแมนแบบเด็กๆ ส่วนบทโรบินยังเป็นของ คริส โอดอนเนลล์ เหมือนเดิม บทตัวร้ายนั้นก็เด่นไม่แพ้ของเดิมหรืออาจจะเด่นกว่าด้วยซ้ำไป นั่นคือบท มร.ฟรีซ ที่ได้ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์ มารับบทร้ายเป็นครั้งแรก ตามด้วย อูม่า เธอร์แมน ดาราคนสวยมารับบท พอยซั่นไอวี่ ยัง … ยังไม่พอ ยังมี แบทเกิร์ล เข้ามาอีกราย บทนี้ตกเป็นของ อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน
แบทแมนภาคสี่ใช้ชื่อว่า “Batman and Robin” ออกฉายในปี ๑๙๙๗ ปรากฏว่าถูกนักวิจารณ์และผู้ชมก่นด่าเสียจมดิน บทหนังกลวงโบ๋ ใส่สีสันมากจนเป็นการ์ตูน (มากกว่าภาคก่อนเสียอีก) ตัวละครมากเกินจำเป็น แถมคนดูยังตั้งข้อสังเกตว่าแบทแมนและโรบิน มีอะไรลึกซึ้งกันเกินกว่าคู่หูรึเปล่าเนี่ย สรุปได้ว่า Batman and Robin ได้รับเสียงด่ามากกว่าเสียงชม ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย ซ้ำยังดูเพลินสนุกๆ เสียอีก แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องมันออกทะเลมากไปหน่อยเท่าน หนังปิดตัวในอเมริกาที่ ๑๐๐ ล้านเหรียญ น้อยที่สุดเท่าที่สร้างแบทแมนมาสามภาค แถมยังเข้าชิงหนังสุดเห่ยถึง ๑๑ รางวัล…น่าภูมิใจซะไม่มี
ใบปิด Batman Forever ไปๆ มาๆ ตัวละครอื่นกลับดูน่าสนใจกว่าพระเอกซะอีก
วาล คิลเมอร์ รับบทแบทแมนเป็นคนที่สองต่อจาก คีตัน เขาเล่นแค่ตอนเดียวแล้วก็ขอบ๋ายบาย
ใบปิด Batman and Robin แบบแรกไม่โดนเท่าไหร่
แบบที่สองก็ให้ผู้ร้ายเด่นกว่าพระเอก (อีกแล้ว)
ก็เพราะชื่อของอาร์นี่ขายได้มากกว่าน่ะสิ แถวยังฟันค่าตัวคนเดียวถึง ๒๐ ล้านเหรียญ
จอร์จ คลูนี่ย์ วางมีดผ่าตัดใน ER มาสวมชุดค้างคาวเวอร์ชั่นที่มีเอ่อ … หัวนม
หนูอลิเซียที่ต้องลุ้นแทบตายว่าเธอจะใส่ชุดนี้ได้หรือไม่ ก็ตอนนั้นเธอ…เอ่อ…บวมซะ
ส่วนคริส โอดอนเนลล์ ยังพอถูไถไปได้กับบทโรบิน
วายร้ายทั้งสี่ที่เด่นกว่าพระเอกทั้งนอกจอและในจอ
เฉพาะสองคนกลางก็ฟันค่าตัวไปรวมกัน ๔๐ ล้านเหรียญ