ใครเป็นเด็กเชียงใหม่หรือเรียน มช. น่าจะคุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะรุ่นดึกดำบรรพ์มาจนถึงรุ่นปี ๕๐ กับก๋วยเตี๋ยวระดับตำนานที่มีจุดขายอยู่ที่ลีลาการรับออเดอร์ของลุงเจ้าของร้าน ที่ว่าถึงปี ๕๐ ก็เพราะนั่นคือปีสุดท้ายที่สาวกลุงว้ากได้มีโอกาสเห็นแกมารับออเดอร์ด้วยตนเอง
พวกนักศึกษารุ่นเก่าๆ น่าจะคุ้นกับคำว่า ว้าก* เป็นอย่างดี มันก็มาจากวิธีการรับน้องในยุคก่อนๆ ที่ออกแนวไซโคโรคจิต คือไม่มีมาให้ดอกไม้คล้องมาลัยจับมือร้องเพลงกิ๋วกิ้วนะครับ เขาจะรับน้องแบบค่ายทหาร บางทีเรียกว่า ซ่อมน้อง ก็มี นัยว่าสร้างแรงกดดันเพื่อสร้างความรักสามัคคีในกลุ่มแบบทันใจ มาจากแนวคิดที่ว่าในสถานการณ์ที่กดดันสุดๆ จะก่อให้เกิดการรวมกลุ่มและรวมพลังกัน ซึ่งไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าใครแม่งคิด พวกที่รับน้องแนวโหดๆ ก็หนีไม่พ้นคณะที่มีพวกชายหนุ่มทะโมนไพรเยอะๆ อย่างวิศวะ เกษตร แต่คณะอื่นๆ ก็มีบ้างเหมือนกันแต่จะโหดน้อยหรือมากก็แล้วแต่ประเพณีนิยม ซึ่งก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าใครแม่งเริ่มต้นวะ
ทีนี้ตอนที่สร้างสถานการณ์กดดันน้องๆ มันก็ต้องแหกปากตะโกนตะคอกกรอกหูน้องใหม่ กิริยาเช่นนี้เรียกกันสั้นๆ ว่า “ว้าก” ก็เลยมีศัพท์ว่า ว้ากน้อง คือกิริยาตะคอกใส่น้องใหม่ด้วยความปรารถนาดี หรือคำว่า พี่ว้าก ก็คือบรรดารุ่นพี่ใจยักษ์ที่ทำหน้าที่ว้ากน้องนี่ล่ะครับ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อก๋วยเตี๋ยวร้านดังที่ว่านี้
ลุงว้าก แกชื่อจริงว่าอะไรก็ไม่เคยมีใครถาม ถ้ามีใครรู้ก็ช่วยบอกกันหน่อยนะครับ แต่ใครๆ ก็เรียกแกว่าลุงว้าก เพราะพลังเสียงเซอราวนด์สิบแปดหลอดของแกนั่นเอง
ก๋วยเตี๋ยวลุงว้าก (ภาพจาก chiangmaiaroi.com)
ใครที่เคยดูเดี่ยวของคุณโน้ส อุดม คงเคยได้ยินมุขลุงว้ากมาบ้าง แบบที่คุณอุดมเล่าเลยล่ะ เวลาแกมารับออกเดอร์จากลูกค้าจะมามาดนิ่มๆ โค้งตัวเล็กน้อยพองาม เอื้อนเอ่ยมธุรสวาจาเสนาะหู รับอะไรดีจ๊ะลูก บางทีก็มีถามสารทุกข์สุขดิบกันเสียด้วย เป็นยังไง มาจากไหนกันล่ะ เพิ่งมาครั้งแรกเหรอ อ้าวเป็นไงหัวฟูมาเชียว เรียนหนักเหรอ ไม่สบายรึเปล่า ฯลฯ แกจะต้อนรับลูกค้าทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน บะหมี่ยำพิเศษสองนะจ๊ะ เล็กแห้งหนึ่งนะจ๊ะ (แกจะจ๊ะจ๋ากับลูกค้าทุกคน) … แต่พอหันไปสั่งมนุษย์เมียที่มีหน้าที่ลวกก๋วยเตี๋ยว แกก็จะเปลี่ยนโหมดกลายเป็นอีกหนึ่งบุคลิกทันที คือแกจะแหกปากตะโกนราวกับอยู่ไกลเป็นกิโล ทั้งที่ก็แค่เดินไปไม่กี่ก้าว แล้วน้ำเสียงก็เข้มเค้นเหมือนจะแดกหัวก็ไม่ปาน
แอบมาสันนิษฐานเองว่าแรกๆ แกคงไม่ได้มีบุคลิกแบบนี้หรอก อาจเป็นเพราะพอเสียงไม่ดัง เมียก็ไม่ได้ยิน หรือไม่ก็แกอาจจะมาระบายใส่เมียอีตอนขายก๋วยเตี๋ยว แบบว่าเอาคืนว่างั้นเถอะ ทีนี้พอมันเป็นจุดขายแล้วจะเลิกเสียงดังก็คงไม่ได้
เด็ก มช. รู้จักกิตติศัพท์ร้านแกดีครับ ส่วนใครที่ไม่คุ้นเคยหรือเป็นคนต่างถิ่นหลงเข้ามากิน ก็จะตกอกตกใจไปตามกัน ร้านแกขายก๋วยเตี๋ยวหมูครับ ทั้งต้มยำ เย็นตาโฟ รสชาติก็ครบเครื่อง โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำแกใส่เครื่องถึงใจ ไม่มีเขี่ยใส่ทีละนิดให้เสียชื่อ แกโกยตูมๆ ๆ รสเปรี้ยวได้จากมะนาวจริงๆ บีบใส่ทีครึ่งลูก มาถึงกินได้เลยไม่ต้องปรุงเพิ่ม แล้วจะมีแป้งทอดกรอบๆ ไว้กินแกล้ม มันก็คล้ายปาท่องโก๋ตัวเล็กๆ โรยหน้ามา ใครจะสั่งมานั่งกินแกล้มเพียวๆ เป็นจานก็ได้
บะหมี่ยำ เมนูขึ้นชื่อ (ภาพจาก chiangmaiaroi.com)
รสชาติก็จัดว่าใช้ได้ ส่วนตัวผมคิดว่าอร่อย แต่ก็ยังไม่ถึงกับพิเศษมากมาย แต่แกดังได้เพราะมีจุดขายนี่แหละ เป็นการสร้าง Brand Awareness ที่สุดยอดมาก นอกเหนือจากเสียงที่ดังกังวาลแล้วแกยังจำแม่นเสียด้วย ใครสั่งอะไรไว้จะซับซ้อนยังไง ไม่เอาผัก ไม่เอาถั่ว เพิ่มโน่นเพิ่มนั่นแกก็จำได้หมด แล้วถ้าคนทำทำผิดมาแกก็ไล่ให้ไปทำมาใหม่ รักษามาตรฐานจริงๆ
ผมเองก็ไปกินร้านแกบ่อยอยู่ แต่เดิมแกตั้งแผงขายริมถนนสุเทพหลัง มช. นั่นแหละ เลยแยกประตูเกษตรไปหน่อยหนึ่ง ต่อมาเขาก็สร้างตลาดจันทร์กุมารขึ้นมา ตรงข้ามโรงแรมพิงค์พยอม แกก็อพยพย้ายร้านมาที่นี่ ร้านลุงว๊ากแกจะมีโปรโมชั่นพิเศษ คือวันวาเลนไทน์จะเปิดร้านให้กินฟรี บางคนบอกว่าวันเกิดแก ๑๔ กุมภา ก็เลยแจกฟรีฉลองซะเลย ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร แต่ผมก็ไม่เคยลองไปโดนฟรีที่ร้านแกซักที
ลุงว้ากแกแหกปากขายก๋วยเตี๋ยวในตลาดจันทร์กุมารอยู่ถึงปี ๕๐ ก็ถึงแก่กรรม ไม่ทราบแน่ชัดว่าจากสาเหตุอะไร ข่าวว่าแกสุขภาพไม่ค่อยดีมานานละ แต่ก็ยังไม่ยอมเลิก เด็ก มช.ที่เคยไปอุดหนุนแกคงใจหายกันนะครับ แต่ร้านลุงว้ากก็ยังเปิดขายอยู่เหมือนเดิม เห็นว่าเมียแกก็ยังทำต่อมาเรื่อยๆ แต่ก็คงไม่มีเสียงว้ากดังแสบแก้วหูเป็นเครื่องเคียงให้ได้ยินอีกแล้ว
*คำว่า “ว้าก” ใช้วรรณยุกต์โท เพราะ ว เป็นอักษรต่ำ เสียงตรีแต่ใช้รูปโทนะจ๊ะ