ญี่ปุ่นช่วงหลังสงคราม นอกจากจะประสบมรสุมด้านเศรษฐกิจแล้ว พวกเขายังต้องเผชิญกับความซวนเซด้านวัฒนธรรมอีกทางหนึ่งด้วย คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการยึดมั่นขนบเดิมๆ ของคนรุ่นเก่า เพราะลัทธิชาตินิยมอย่างสุดโต่งนี่เองที่เป็นเหตุให้ประเทศต้องประสบกับหายนะ (ถ้าพวกเขาชนะสงคราม สถานการณ์ก็คงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง) คนรุ่นใหม่จึงเริ่มหันมาสนใจในวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ความศิวิไลซ์ในสายตาหนุ่มสาวคือวิถีชีวิตแบบตะวันตก พวกเขาจึงอ้าแขนรับวัฒนธรรมเหล่านั้นเข้ามาอย่างเต็มใจ
แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจหนีจากรากเหง้าของตนเอง การพลิกวิถีชีวิตจากดั้งเดิมมาเป็นสมัยใหม่ไม่เรื่องง่าย แม้พวกเขาจะปรับตัวให้เป็นตะวันตกสักเพียงใด แต่ความเป็นคนญี่ปุ่นที่กินข้าว กินราเม็ง กินซูชิ สวมยูคาตะ มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
นานวันเข้าเมื่อประเทศฟื้นคืนสู่ภาพปรกติจนถึงขั้นที่แซงหน้ามหาอำนาจบางประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ญี่ปุ่นไม่ใช่คนผิวเหลืองตัวเล็กๆ ที่ต้องก้มหัวให้พวกตะวันตกอีกต่อไป พวกเขาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นผู้นำสำคัญของโลกในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และข้ามเลยไปถึงวัฒนธรรมด้วย
เอาแค่ในญี่ปุ่นเองวัฒนธรรมดั้งเดิมยังคงทำหน้าที่ของมันตามปกติ จากที่ได้ฝังรากลึกจนยากจะถอนออก ด้วยความที่มันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเป็น “ญี่ปุ่น” อย่างดียิ่ง เพราะคนญี่ปุ่นก็ต้องดำรงวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่น แต่หลังจากที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นพุ่งทะยานเป็นผู้นำโลก มันก็พาเอาวัฒนธรรมของพวกเขากระจายไปทั่วโลก จนกลายเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมเอเชียไปในตัว
ญี่ปุ่น กับ จีน ก็คล้ายๆ กัน ทำไมในหนังฮอลลิวู้ด เราจึงเห็นตัวละครที่เป็นชาวเอเชียจะมาจากสองชาตินี้เท่านั้น เอาแค่เห็นหน้า ฝรั่งทุกคนก็ต้องทักเอาแล้วว่า คุณเป็นคนญี่ปุ่นใช่ไหม? หรือ คุณเป็นคนจีนใช่ไหม? ไม่ยักกะมีใครคิดถึงประเทศอื่นๆ สักเท่าไหร่หรอก ก็เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับ จีน ในฐานะของประเทศที่ใหญ่ที่สุดเอเชีย (และโลก) ในขณะที่ ญี่ปุ่น พวกเขาเห็นกันจนชินตากับบรรดาเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่ล้วนมาจากญี่ปุ่นทั้งสิ้น
Kitty Crop Circle!
ชาวเอเชียด้วยกันก็มองญี่ปุ่นว่าเป็นเสมือนตัวแทนทางวัฒนธรรม (จากที่เคยเป็นจีน) เพราะญี่ปุ่นเปิดกว้างกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า (ทุกบ้านจะต้องมีสินค้าญี่ปุ่นอย่างน้อย ๑ ชิ้น …ฟันธง) ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการบริโภค ร้านอาหารสัญชาติญี่ปุ่นเปิดบริการเป็นร้อยๆ สาขาทั่วเอเชีย ดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น ทรงผม ฯลฯ มีญี่ปุ่นเป็นผู้นำเทรนด์แทบทั้งสิ้น แม้กระทั่งในสังคมของเด็กๆ ที่แม้แต่คนที่ไม่เด็กแล้วก็ยังหลงใหล ญี่ปุ่นก็ยังเป็นผู้นำอยู่เช่นเดิม
ขณะที่คนญี่ปุ่นรับเอาวัฒนธรรมตันตกเข้ามา ชาวเอเชียก็รับเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่น (ที่ผสมตะวันตกมาบ้าง) มาอีกทอดหนึ่ง กลายเป็นว่าญี่ปุ่นคือตัวกลางของการขยายขอบเขตทางวัฒนธรรมไปทั่วเอเชีย
การ์ตูนหรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า มังงะ (manga) คือพลังอำนาจที่ใหญ่ยิ่งอย่างยากจะหาใครเปรียบ วัฒนธรรมญี่ปุ่น (อาจหมายรวมถึงทั้งเอเชีย) ถูกส่งต่อทางการ์ตูนได้ดีที่สุด ในปีๆ หนึ่ง วงการมังงะของญี่ปุ่น สามารถทำรายได้มากกว่าวงการการ์ตูนในอเมริกาเป็นสิบเท่าตัว มีเด็กกี่คนกันที่ไม่รู้จัก โดเรม่อน หุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่หยิบของวิเศษออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องได้ หรือจะเป็น ปิกกะจู ตัวสัตว์ประหลาดสีเหลืองหน้าตาน่ารักที่มีพลังสายฟ้าเป็นอาวุธ หรือแมวตัวกลมสีขาว ผูกโบว์สีชมพู หน้าตาจิ้มลิ้ม ที่เป็นที่รักของเด็กผู้หญิงทั่วโลก ทั้งที่เธอไม่มีปาก
เจ้าแมวตัวที่ว่านี้คือ “คิตตี้จัง” เธอกลายเป็นตัวแทนของญี่ปุ่นหรืออาจจะของเอเชียด้วยซ้ำ ที่สามารถฟาดฟันและไล่กระทืบ มิกกี้เม้าส์ ตัวแทนจากฝั่งอเมริกา จนแทบหนีกลับประเทศไม่ทัน ทุก วันนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักแมวไม่มีปาก ผู้หญิงทั่วโลกทั้งเด็กและไม่เด็กต่างชื่นชอบและคลั่งไคล้เจ้าเหมียวหน้าตายตัวนี้ เราสามารถพบเห็นเจ้าเหมียวตัวนี้ได้ทั่วไปทั้งจากสิ่งขอเครื่องใช้ในชีวิต ประจำวันตั้งแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปจนถึงรถยนต์ และลามปามไปจนถึงเครื่องบินโดยสาร! หรือแม้กระทั่งโรงแรมชื่อดังบางแห่งก็จัดห้องพักพิเศษสำหรับสาวกคิตตี้โดย เฉพาะก็ยังมี
เฮลโล คิตตี้ กำเนิดในประเทศญี่ปุ่น โดย บริษัท ซานริโอ (Sanrio Company of Japan) ซึ่งมีตัวการ์ตูนฮิตๆ อยู่ในสังกัดมากมาย แต่รายที่เป็นตัวเอกของบริษัทก็คือเจ้าแมวตัวนี้นี่เอง ความนิยมคิตตี้ของญี่ปุ่นพุ่งถึงจุดสูงสุดจนกลายเป็นวัฒนธรรมคิตตี้ และลุกลามกระจายไปทั้งภูมิภาคและทั้งโลก เพราะคิตตี้จังไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวการ์ตูนน่ารักธรรมดาๆ แต่เธอยังมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง สำหรับเธอไม่มีคำว่าล้าสมัยหรือตกยุค เพราะผู้สร้างได้ปรุงแต่เรื่องราวทำให้เธอมีชีวิตขึ้นมา มีทั้งชื่อจริง วันเกิด ครอบครัว แฟนหนุ่ม การดำเนินชีวิต และอะไรต่อมิอะไรที่เด็กสาวทั่วโลกมีเหมือนๆ กัน นั่นจึงทำให้คนทั้งโลกรู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว
คิตตี้จัง มีชื่อจริงว่า คิตตี้ ไวท์ (Kitty White) เธอเกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๑๙๗๔ เป็นชาวลอนดอน มีเลือดกรุ๊ป A (มีแม้กระทั่งกรุ๊ปเลือดเชียวนะ) ชินทาโร่ ทสึจิ (Shintaro Tsuji) ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ ยามานาชิ ซิลค์ เซ็นเตอร์ (Yamanashi Silk Center) ในปี ๑๙๖๐ (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น ซานริโอ ในปี ๑๙๗๓) เขาเปิดร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นที่ย่านชินจูกุ ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของวัยรุ่นญี่ปุ่น ที่นี่เองที่เขาคิดจะสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่างเพื่อเป็นสินค้าไว้ดึงดูดบรรดาวัยรุ่น และในที่สุด คิตตี้จัง ก็เกิดขึ้นมา
นี่คือโฉมหน้าของคุณป้า ยูโกะ ยามากูจิ ผู้สร้างสรรค์คิตตี้จังคนปัจจุบัน
อิคุโกะ ชิมิสึ(Ikuko Shimuzu) คือคนแรกที่ออกแบบตัวละครตัวนี้ขึ้นมา ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือมาเป็น เซตสึโก โยเนคุโบะ (Setsuko Yonekubo) ในปี ๑๙๘๐ และปัจจุบันการออกแบบคิตตี้จังตกอยู่ในมือของ ยูโกะ ยามากูจิ (Yuko Yamaguchi) ซึ่งเธอยังคงออกแบบลวดลายและสีสันต่างๆ ออกมาอย่างไม่รู้จบ
ชีวิตของคิตตี้จังแสนจะอบอุ่นและเป็นชีวิตในอุดมคติของใครๆ เธอเกิดและโตในลอนดอน (เธอเกิดในยุโรปแต่ถูกสร้างโดยคนเอเชีย เพราะคนญี่ปุ่นอยากเท่เหมือนคนตะวันตกไง) มีพ่อทำงานเป็นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ มีคุณแม่เป็นแม่บ้านที่เชี่ยวชาญการทำเบเกอรี่ (คิตตี้จังโปรดปรานพายแอปเปิ้ลฝีมือคุณแม่เป็นพิเศษ) เธอมีนิสัยอ่อนโยน ใจดี ชอบอ่านหนังสือ เล่นเปียโน ท่องเที่ยว ชอบพบปะผู้คน … ชีวิตเธอช่างนางเอ๊ก นางเอก
ตลอด ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตของคิตตี้จังไม่ได้หยุดอยู่แค่การ์ตูนนิ่งๆ ซานริโอได้เพิ่มเติมพัฒนาให้แก่เธออย่างมากมาย เพราะว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอมันขายได้น่ะสิ ซานริโอจึงเพิ่มโน่นเติมนี่ให้กับเธออยู่ตลอด
คิตตี้จังพบรักกับ เดียร์ แดเนียล (Dear Daniel) แมวหนุ่มหัวตั้ง ในปี ๑๙๘๙ ซึ่งก็แน่นอนว่าแดเนียลเองก็ขายดีไม่แพ้เธอ ต่อมาแดเนียลต้องเดินทางไปต่างประเทศ คิตตี้จังจึงต้องเขียนทั้งจดหมายและโปสการ์ดไปหาแฟนหนุ่ม แน่นอนว่ากระดาษเขียนจดหมาย ซองจดหมาย โปสการ์ดของเธอ ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนกระทั่งมาถึงยุคไซเบอร์ คิตตี้เมล์ก็ถูกสร้างขึ้น และก็มีสมาชิกลงทะเบียนใช้มากมายเช่นเคย
ซาน ริโอสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคิตตี้จังออกมากว่า ๒ หมื่นชนิดเข้าให้แล้ว ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเครื่องบิน และภาพลักษณ์ที่เข้ากันได้กับทุกสถานการณ์ ทั้งแบบหนุ่มสาว คู่รัก แบบแม่ลูก ครอบครัว หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของคิตตี้จัง คือแฮมสเตอร์ชื่อ ชาร์มมี่ ก็ยังพลอยขายดิบขายดีไปกะเค้าด้วย
คิตตี้จังตามติดกับวิถีชีวิตของผู้คนโดยตลอด เมื่อพ่อแม่เริ่มส่งลูกหลานไปเรียนดนตรี ซานริโอก็ออกแบบคิตตี้ในเวอร์ชั่นเล่นเปียโน เมื่อบัลเล่ต์โด่งดัง คิตตี้ก็ถูกจับมาเต้นบัลเล่ต์ (ด้วยขาอันแสนสั้นของเธอนั่นแหละ) คิตตี้จึงมีปรากฏอยู่ในทุกอิริยาบถเหมือนคนในสังคมจริงๆ ทั้ง ทำกับข้าว เล่นกีฬา ร้องเพลง เรียนหนังสือ ออกงานสังคม ฯลฯ
บะหมี่ถ้วยของคิตตี้จัง และเหรียญ 50 ยูโร รุ่น เฮลโล คิตตี้ ผลิตออกมาเมื่อปี 2005
สมัยที่ มร.ทสึจิ ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ๆ เขาลงทุนเปิดร้านขายของที่ระลึกขึ้นที่ซานฟรานซิสโก ในปี ๑๙๖๙ จนกระทั่งคิตตี้จังถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น เขาก็รีบส่งเธอข้ามฝั่งไปอเมริกาทันที คิตตี้ จังในอเมริกาถูกออกแบบให้เข้ากับสังคมใหม่ของเธอ ทั้งเสื้อผ้าและสีสัน ถูกเนรมิตรใหม่ให้เข้ากับความนิยมของคนอเมริกัน จากนั้นก็ลามไปในยุโรป จนเธอกลายเป็นที่รู้จักของคนไปทั่วโลก
คนดังหลายคน โดยเฉพาะพวกดารา นักร้อง ต่างก็เป็นสาวกของเธอทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น มาราย แคร์รี่ คาเมรอน ดิอาซ แมนดี้ มัวร์ และเคยมีข่าวว่าบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่าง บิลล์ เกตส์ แห่งไมโครซอฟต์ ก็เคยยื่นข้อเสนอขอซื้อบริษัท ซานริโอมาแล้ว เพราะว่าลูกสาวของเขาก็เป็นแฟนคิตตี้ !
รถไดฮัทสุ รุ่นเฮลโล คิตตี้ และเครื่องบินโดยสาร เวอร์ชั่นคิตตี้
ในปี ๑๙๘๓ คิตตี้จังได้รับเลือกให้เป็นทูตพิเศษขององค์การยูนิเซฟ ยิ่งทำให้เธอโด่งดังขึ้นไปอีก จากนั้นเธอก็ปรากฏตัวในรูปแบบของอนิเมชั่น Hello Kitty’s Furry Tale Theatre อนิเมชั่นเรื่องแรกของเธอออกฉายในปี ๑๙๘๗ ตามมาด้วยอนิเมชั่นอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่ได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยม
ปัจจุบัน ซานริโอ กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับหัวแถวของญี่ปุ่น เพียงแค่รายได้จากลิขสิทธิ์ของคิตตี้เพียงอย่างเดียว ก็ทำเงินให้ไม่รู้เท่าไหร่ๆ จากทุนจดทะเบียนเมื่อตั้งบริษัทเพียง ๑ ล้านเยน เพิ่มขึ้นเป็นกว่า ๒๐ พันล้านเยน มีรายได้ปีละกว่า ๘๓ พันล้านเยน ร้อยละ ๙๐ มาจากสินค้าที่ระลึก ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทโปสการ์ด วิดีโอ ภาพยนตร์ และรายได้จากสวนสนุก ร้านอาหาร เป็นต้น
ชุดเจ้าสาวสไตล์คิตตี้, เครื่องปิ้งขนมปังที่ทำเสร็จแล้วจะได้ลายคิตตี้ และ ผ้าอนามัยคิตตี้!