ค้างเอาไว้นานแล้วเรื่องการหาเงินเลี้ยงชีพของผมที่ถูกกฎหมาย (มั้ง) แต่เสี่ยงตีน เหตุเกิดเพราะ เฮียนก แท้ๆ แกมีประสบการณ์มาก่อน จึงอยากให้ผมลองมีแบบแกมั่ง เลยจัดตั้งทีมเฉพาะกิจเหมือนใน Mission Impossible เลยล่ะ รับงานใหญ่มางานหนึ่ง
งานที่ว่าคืองานสายลับ … คือเรียกให้มันดูโก้เฉยๆ น่ะครับ ที่จริงมันก็งานนักสืบ … ดูดีเกินไปอีกใช่ไหม งานสะกดรอยติดตามพฤติกรรมชาวบ้านเขาว่างั้นเถอะ ก็เรื่องผัวๆ เมียๆ นั่นล่ะครับ
เรื่องมันเริ่มที่ เฮียนก แกคงเห็นว่าผมกรอบเต็มทน หรือว่าแกก็คงกรอบด้วยเหมือนกันนั่นแหละมั้ง สมัยหนุ่มๆ แกเคยไปรับจ๊อบให้ผู้ใหญ่คนหนึ่ง มีตำแหน่งพอสมควรในระดับการเมืองท้องถิ่น แกชื่อ เฮีย ก. (ขอสงวนนาม ถ้าใครมาอ่านตอนที่ผมยังไม่เซ็นเซอร์ก็ขอให้ลืมไปซะนะครับ ประเดี๋ยวแกจะมาตื้บเอา) เฮียนกของผมแกเคยรับใช้เฮีย ก. เป็นสายลับอยู่สองสามงาน (จากนี้ไปจะเรียกว่างานสายลับนะครับ) แกเล่าว่างานไม่ยาก ไปซุ่มโป่งดูพฤติกรรมตามคำสั่ง มีอยู่หนหนึ่งแกต้องไปซุ่มโป่งดูไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง สงสัยจะซุ่มนานไป คนงานเลยผิดสังเกต
ทีนี้คนงานเขาก็เลยไปแจ้งตำรวจ แต่ขณะที่รอตำรวจคนงานเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย อาจจะเริ่มคันไม้คันมืออยากตื้บคนขึ้นมา ไม่รู้แกคิดยังไงนะครับตอนนั้น แต่เป็นโชคมากที่รอดดงตีนคนงานมาได้ พอตำรวจมาถึงก็มาสอบเฮียนกชุดใหญ่ แต่พอเฮียนกควักนามบัตรเฮียเกี้ยให้ตำรวจเรื่องก็จบ
“อ้าว น้องคนของเฮีย ก. หรอกเหรอ เอ้าๆ ไม่มีอะไร กลับๆ”
นามบัตรใบนั้นช่วยชีวิตไว้แท้ๆ เชียว พอเฮียนกเป็นนายหน้ารับงานสายลับให้พวกเราอีกหน ก็เลยไม่ลืมขอนามบัตรให้พวกเราพกกันคนละใบ บอกว่าเอาไว้กันหมากับตำรวจได้ชะงักนัก พวกเราที่ว่านี่ก็มีเฮียนกกับน้องพร (ภรรยาคนปัจจุบัน ฮา) ไอ้มิก กับผม รวมเป็นสี่คน งานง่ายๆ แค่ติดตามดูพฤติกรรมคน คอยบันทึกว่าวันๆ เขาไปทำอะไรบ้าง ที่ไหน กับใคร พอเขาเข้าบ้านก็เป็นอันจบงาน แต่ถ้าวันไหนเขาเสือกไปร่อนดึกๆ ดื่นๆ ก็ต้องตามให้จบ
เขาที่ว่านี่เป็นอดีตมนุษย์เมียของเพื่อนฝูงของเฮียคนหนึ่ง เลิกรากันไปแล้วเรียบร้อย แต่ฝ่ายชายยังข้องใจว่าอดีตเมียไปมีคนอื่นรึเปล่า ก็เลยไหว้วานให้เฮียส่งเด็กไปตามดูให้หน่อย เรื่องก็เลยมาลงที่พวกเรา ค่าแรงล่อใจมากเลยนะครับ วันละตั้ง ๕๐๐ บาท ไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ทีนี้ก็ต้องมาวางแผนกันล่ะว่าจะดำเนินการยังไง
ผมกับเจ้าพรนี่เรียนด้วยกัน เลยว่างเกือบจะตรงกัน เลยสรุปว่าจะเป็นบัดดี้กัน ส่วนเฮียนกจะไปกับไอ้มิก ช่วงไหนใครว่างจากเรียนก็ออกตาม มีเรียนก็เข้ามาเรียน ให้อีกทีมไปสานต่อ ตอนแรกๆ ก็สนุกดีครับ พอเริ่มทำจริงๆ ก็เริ่มเสียวๆ ละ
มาคิดๆ ดู เฮีย ก.นี่ก็จัดว่าป๋าพอควร ก็ขนาดตำรวจเห็นนามบัตรยังเกรงใจ แล้วเพื่อนฝูงแกล่ะ ก็น่าจะป๋าพอๆ กัน แล้วจึงอนุมานเอาว่า อดีตเมียแกก็คงไม่ใช่ธรรมดามั้ง หากเกิดผิดพลาดแล้วเขาจับได้ ไม่แคล้วจะโดนตีน ตอนที่มาเห็นบ้านของเป้าหมายก็สะดุ้งเล็กน้อย เพราะมีคนงานร่างกำยำอยู่หลายคน แต่ตอนนั้นเงิน ๕๐๐ มันบังตาครับ เอาไงเอากัน
เรามีโค้ดเรียกกันซะด้วยนะครับอย่างบ้านของเป้าหมายเราก็เรียกว่า เป้าหมายหนึ่ง ที่ทำงานเราก็เรียกว่า เป้าหมายสอง ถ้าเกิดแกไปที่ไหนอีกเพิ่มเติมก็จะเป็นเป้าหมายสาม สี่ ไปเรื่อยๆ มานึกเอาทีหลังก็งงๆ ว่าจะเรียกให้มันยุ่งยากไปทำไมวะเนี่ย ที่เป้าหมายสองอยู่ใกล้กับคูเมือง ผมกับเจ้าพรก็มานั่งซุ่มโป่งกันที่ริมคูเมือง ระหว่างนั้นก็เหน็บชีทมานั่งอ่านเตรียมสอบกันด้วย จังหวะหนึ่งเจ้าพรดันตาดีเห็นเป้าหมายออกมา เลยเรียกผมให้ตาม ผมก็เสือกดันทิ้งชีทไว้อีก สรุปว่าทำชีทหาย ไม่มีอ่านสอบ คุ้มมั้ยเนี่ย แล้วยังทะลึ่งมาเพ้อเจ้อทีหลังว่า ถ้าเกิดเค้าเก็บชีทเราได้ จะกลายเป็นหลักฐานมัดตัว โอ้ววว แย่แน่เลยโคนันเอ๋ย
ผมมานั่งดักรอเป้าหมายริมคูเมืองนี่แหละครับ แต่ไม่ใช่ตรงนี้นะครับ รูปนี้จิ๊กมาจากเน็ตเฉยๆ
พอตามไปซักสองสามวันก็เริ่มชินครับ โชคดีที่เป้าหมายไม่ได้ไปไหนเป็นพิเศษ มีอยู่หนนึงเป้าหมายเข้าไปในซอยทุ่งโฮเต็ล (มันเป็นชื่อซอยนะครับสำหรับคนที่ไม่รู้จัก) ตอนนั้นก็ดึกแล้วล่ะ เอาไงดีล่ะ ผมตามมากับเจ้าพรสองคน ก็เลยโทรตามให้เฮียนกกับไอ้มิกมาสมทบ (สมัยนั้นไม่มีมือถือนะครับ ต้องวิ่งหาตู้หยอดเหรียญ) มืดก็มืด ไปจอดดักรออยู่หน้าบ้านใครเขาก็ไม่รู้ เสียวๆ ว่าเจ้าของบ้านเขาจะเอาปืนมาส่องเหมือนกัน พอมาครบสี่คนก็ประชุมว่าเอาไงต่อ สงสัยแม่งอยู่ยันเช้าแน่ ดึกเข้าก็เห็นสมควรว่ากลับเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ ถ้าขืนอยู่ต่ออาจโดนส่องด้วยลูกซองแน่ๆ
เป้าหมายนี่เขาขับรถแวนยี่ห้อหนึ่งครับ ตอนนั้นทั้งสี่คนนี่เหมือนเป็นโรคจิตเลย เห็นรถยี่ห้อนี้สีนี้เป็นไม่ได้ ต้องหันมองตามตลอด ทุกคนสารภาพว่าเป็นเหมือนกัน มันหลอนน่ะครับ
ทำได้อยู่ราวสิบวันก็ปิดจ๊อบ เฮียนกก็สรุปรายงานส่งศูนย์บัญชาการ (มีสรุปรายงานซะด้วย) หลังจากนั้นสองวันเฮียนกก็บอกให้เราว่าเฮียเรียกไปพบ เอาล่ะสิ หรือว่าเราจะโดนเก็บวะเนี่ย ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับ เฮียแกพาเราไปเลี้ยงชุดใหญ่ เราก็กะว่าจะไปกินกันให้เปรม แต่พอไปถึงจริงๆ ก็นั่งกันตัวลีบ คือบรรยากาศมันไม่น่าครื้นเครง มันเกร็งๆ ยังไงไม่รู้สิครับ นั่งกินร่วมโต๊ะกับป๋าแบบนั้น เผื่อแกหงุดหงิดอะไรขึ้นมา กลัวว่าจะมีอะไรเปรี้ยงปร้างขึ้นมาน่ะสิ
ตอนนั้นได้เงินมาก้อนนึง เยอะเชียวล่ะ มีความสุขมาก แต่พอเฮียนกมาบอกว่า เฮ้ย สนใจอีกงานไหม ไม่มีใครเอาด้วยเลยซักคน (ฮา)
หลังจากนั้นเป็นปี ผมกับเฮียนกไปกินข้าวกันแล้วบังเอิญเจอเฮียเข้า เราก็เข้าไปหวัดดีแก ผมก็ควักนามบัตรที่ยังเก็บไว้ตั้งแต่ตอนโน้นมาให้เฮียนก แกก็เอาไปให้เฮียบอกว่าขอนามบัตรใหม่ได้ไหม จะเก็บไว้เป็นสิริมงคล เฮียหัวเราะชอบใจใหญ่ แกเซอร์ไพร้ส์มากที่ยังเก็บนามบัตรแกไว้ เลยแจกใบใหม่มาให้อีกชุดใหญ่ เราเลยได้นามบัตรกันหมามาไว้ให้อุ่นใจ
หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวแกอีกเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้เอานามบัตรไปอวดแกอีกแกจะดีใจไหมน้อ