เรื่องราวของห้องสมุดที่อุตส่าห์รวบรวมมาเขียนได้ตั้ง ๕ ตอน
ก็เลยจัดรวมเป็นไฟล์เดียวมันซะเลย
ท่านสามารถโหลดไปอ่านได้ที่นี่เลยครับ **download**
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่สนใจครับ
library
All posts tagged library
ภายหลังการเสียกรุงครั้งที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความเป็นเอกราชีกครั้งหนึ่ง ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ ภายหลังจากเสร็จศึกกับอริราชศัตรู ทรงมีพระราชดำริที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองในทุกๆ ด้านให้มีความเจริญมั่งคั่งเหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา มีการอัญเชิญพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราชมาทำการคัดลอกเก็บรักษาไว้ ณ กรุงธนบุรี นอกจากนี้ยังมีการนิมนต์พระเถระจำนวนมากมาชุนุมกันที่วัดระฆังโฆษิตาราม เพื่อทำการชำระพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎกที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ให้มารวบรวมจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ในกรุงธนบุรี
ถึงแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามไว้ภายในพระบรมมหาราชวัง ตามแบบอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระมณเฑียรธรรม ขึ้นเพื่อใช้เป็นอาคารจัดเก็บพระไตรปิฎก จึงอาจนับได้ว่า หอพระมณเฑียรธรรมหลังนี้เป็นห้องสมุดแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ (หอพระมณเฑียรธรรมนี้ต่อมาถูกเพลิงไหม้เสียหายอย่างหนัก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท จึงโปรดเกล้าฯ สร้างถวายอีกหลังหนึ่ง ภายในบริเวณพระบรมมหาราชวังเช่นเดิม)
บันทึกตำราแพทย์โบราณบริเวณผนังรอบศาลารายในวัดโพธิ์
รูปปั้นฤาษีดัดตนมีให้เห็นทั่วไปในวัดโพธิ์
ปี พ.ศ. ๒๓๓๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงโปรดเกล้า ให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม ที่อยู่ติดกันกับพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (อันหมายถึงวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างหรือทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์) แต่ชาวบ้านยังคงเรียกกันติดปากว่า วัดโพธิ์ การปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้นนอกจากจะทรงสร้างอาคารและถาวรวัตถุต่างๆ ถวายเพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแล้วยังทรงสร้างศาลารายรอบบริเวณวัด และนำแผ่นศิลาบันทึกสรรพวิชาความรู้ทางตำราโบราณ ตำรายา การแพทย์ ติดไว้จามศาลาราย ระเบียง และสร้างรูปปั้นฤาษีดัดตน อันเป็นกระบวนท่าในการนวดแผนโบราณประดับไว้รอบวัด เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้คนทั่วไปที่สนใจศึกษาตำราโบราณเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เอง วัดโพธิ หรือวัดพระเชตุพนฯ จึงได้รับการยกย่องให้เป็น ห้องสมุดประชาชนแห่งแรกของประเทศไทย
สำหรับข้อมูลความรู้ที่ถูกบรรจุไว้ภายในบริเวณวัดพระเชตุพนฯ สามารถจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ได้ถึง ๘ ประเภท ได้แก่
๑. หมวดประวัติศาสตร์ ว่าด้วยจารึกประวัติการสร้างวัดพระเชตุพนฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
๒. หมวดพระพุทธศาสนา ว่าด้วยประวัติพระสาวกเอตทัคคะ (หมายถึง ถึงผู้ประเสริฐสุดในทางใดทางหนึ่ง) จำนวน ๔๑ เรื่อง
๓. หมวดตำรายา ว่าด้วยตำรายาต่างๆ ติดไว้ตามศาลารายล้อมหมู่พระเจดีย์
๔. หมวดวรรณกรรม ประกอบไปด้วยศิลาจารึกเพลงยาวกลบท ฉันท์วรรณพฤติ ตำราโคลง รวมทั้งภาพเขียนในวรรณคดี
๕. หมวดสุภาษิต เช่น จารึกสุภาษิตพระร่วง ฉันท์กฤษณาสอนน้อง
๖. หมวดทำเนียบ มีรูปหล่อบุคคลเชื้อชาติต่างๆ พร้อมแผ่นศิลาจารึกแสดงบอกไว้ตามเฉลียง
๗. หมวดประเพณี มีภาพเขียนกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราทางสถลมารค
๘. หมวดอนามัย มีภาพเขียนและรูปหล่อแสดงการนวด เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าให้จัดสร้าง หอพระสมุดวชิรญาณ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามที่ปรากฏในเอกสารข้อบังคับสำหรับหอสมุด มีความตอนหนึ่งว่า
“…แลการหนังสือก็เปนของโปรดในพระอัธยาไศรยในพระบาทสมเด้จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปนอันมาก ควรที่พวกเราทั้งหลาย ซึ่งได้เงินรายนี้จะยินดีช่วยกันจัดการให้ห้องหนังสือซึ่งเปนของมีคุณแลชอบพระราชอัธยาไศรยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นได้ตั้งขึ้นเปนประโยชน์ชื่อเสียงดังที่กล่าวมาแล้ว คือตั้งเปน ไลบารี หรือห้องหนังสือ …”
หอพระสมุดวชิรญาณ
หอพระสมุดวชิรญาณแห่งนี้จัดเป็นห้องสมุดของประเทศไทยแห่งแรกที่มีการจัดการตามแบบอย่างของสากล คือมีคณะทำงานหรือ เจ้าพนักงานหอพระสมุด เรียกว่า กรรมสัมปาทิสภา มีระบบสมาชิก มีเงินทุนสนับสนุน มีกฎระเบียบต่างๆ ตามหลักการสากลของห้องสมุด เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ เนื่องในวโรกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ จัดตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ เป็น หอพระสมุดสำหรับพระนคร เพื่อ “ให้หอพระสมุดวชิรญาณเปนหอหลวงสำหรับแผ่นดินสืบไป” ตามพระบรมราชโองการจัดตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๔๘
ในยุคแรกนั้น หอพระสมุดวชิรญาณ จัดแบ่งเอกสารออกเป็นสามหมวด คือ หมวดพระพุทธศาสนา หมวดหนังสือไทย และหมวดหนังสือภาษาต่างประเทศ ดำเนินกิจการเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าหอพระสมุดนี้ตั้งอยู่บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประตูพิมานชัยศรี เห็นว่าไม่เหมาะสมและเล็กเกินไปสำหรับหอสมุดสำหรับพระนคร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างอาคารริมถนนหน้าพระธาตุ เพื่อให้สง่างามสมเป็นสถานที่ราชการสำคัญของประเทศ
อาคารหอพระสมุดเดิมบริเวณถนนหน้าพระธาตุ
มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือในห้องสมุดส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ให้แก่หอสมุดฯ ทำให้อาคารหอสมุดฯ ต้องรองรับหนังสือและเอกสารจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม จึงโปรดเกล้าฯ ให้แยกหอพระสมุดสำหรับพระนครออกเป็นสองส่วน คือ หอพระสมุดวชิรญาณ สำหรับเก็บรักษาพระคัมภีร์ จดหมายเหตุ บันทึกลายมือ เอกสารโบราณ รวมทั้งศิลาจารึก อีกแห่งหนึ่งคือ หอพระสมุดวชิราวุธ สำหรับเก็บรักษาหนังสือตัวพิมพ์อื่นๆ โดยให้ขึ้นกับ ราชบัณฑิตยสภา
ต่อมามีการจัดตั้ง กรมศิลปากร ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ และโอนงานราชบัณฑิตยสภามาเป็นของกรมศิลปากร หอพระสมุดฯ จึงมีฐานะเป็นกอง เรียกว่า กองหอสมุด และเปลี่ยนชื่อจากหอพระสมุดสำหรับพระนคร เป็น หอสมุดแห่งชาติ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติขึ้นใหม่ บริเวณท่าวาสุกรี เพื่อขยายพื้นที่ดำเนินการและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักสากล โดยเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙ และดำเนินกิจการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อาคารหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน บริเวณท่าวาสุกรี
สำหรับห้องสมุดที่สำคัญๆ ของประเทศไทยที่ควรจะกล่าวถึงไว้ อาทิ หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันใช้ชื่อ สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อแรกตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๕๓ หลังจากที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๑ จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสถาบันวิทยบริการและยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ในระดับห้องสมุดโรงเรียนนั้น เท่าที่มีการบันทึกไว้เชื่อได้ว่า ห้องสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จัดเป็นห้องสมุดโรงเรียนแห่งแรกของประเทศไทย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ ตั้งอยู่บริเวณพระตำหนักสวนกุหลาบ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ย้ายที่ทำการมายังบริเวณถนนตรีเพชร ฝั่งตรงข้ามวัดราชบูรณะ ซึ่งพบไว้ว่าได้มีการจัดตั้งห้องสมุดขึ้นแล้วแต่ไม่มีการบันทึกวันเวลาที่แน่นอน เดิมทีนั้นห้องสมุดตั้งอยู่บริเวณชั้นสองของอาคารสวนกุหลาบ (ตึกยาว) ต่อมาอาคารได้ทรุดตัวตามอายุการใช้งาน จึงได้ย้ายห้องสมุดมายังอาคารศาลาพระเสด็จและคงดำเนินกิจการสืบมาจนถึงปัจจุบัน
นับแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ห้องสมุด นับเป็นแหล่งศึกษาสรรพวิทยาการความรู้ที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ มีการพัฒนาและต่อยอดเรื่อยมาเพื่อให้สอดคล้องกับวิทยาการที่ทันสมัยของโลก ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการจัดการงานเทคนิคต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่หลากหลายได้ถูกนำมาใช้ในการจัดการและให้บริการแก่ผู้ใช้ และแม้ว่าโลกยุคดิจิตอลนี้ ข้อมูลข่าวสารได้ไหลเวียนไปในทุกส่วนของสังคม สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต แต่ห้องสมุดก็ยังคงไว้ซึ่งความสำคัญในฐานะขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นคลังสมองของสังคมอีกตราบนานเท่านาน
ทางโลกฝั่งตะวันออกความเจริญก้าวหน้าของห้องสมุดที่น่าสนใจอยู่ที่ประเทศจีน แต่ห้องสมุดก็ยังคงถูกจำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงนักปราชญ์ในราชสำนัก ด้วยเหตุผลเดิมๆ นั่นคือประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดการศึกษา วัสดุที่ใช้สำหรับบันทึกนั้นมีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง มีการค้นพบการบันทึกข้อความไว้บนกระดองเต่า กระดูกสัตว์ แผ่นหิน ต่อมาชาวจีนบันทึกข้อความหรือทำจดหมายโดยใช้ซี่ไม้ไผ่เย็บต่อกันเป็นผืนแล้วม้วนเก็บไว้ หรือไม่ก็เขียนลงบนผืนผ้า และเป็นกระดาษในเวลาต่อมา
ตัวอักษรจีนนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตัวอักษรภาพ คือการแปรภาพมาเป็นตัวอักษร ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล การเขียนตัวอักษรจีนจึงมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป และในแต่ละยุคสมัยตลอดระยะเวลากว่า ๖,๐๐๐ ปี ของวิวัฒนาการทางภาษาของจีน มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะ รูปแบบของตัวอักษรอยู่ตลอดเวลา แผ่นดินจีนในยุคโบราณจึงมีการใช้ตัวอักษรที่แตกต่างกันไปตามภูมิภาค ตามยุคสมัย หรือตามความนิยมของผู้คน
จารึกอักษรจีนโบราณบนกระดองเต่า
จนถึงในสมัยราชวงศ์จิ๋น โดยสมเด็จพระจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงประกาศให้มีการใช้ตัวอักษรจีนแบบเดียวกันทั้งประเทศ ภายหลังที่พระองค์ได้ครอบครองแผ่นดินจีนทั้งหมดแล้ว แต่ท้ายที่สุดความพยายามนี้ก็ไม่บรรลุพระประสงค์ทั้งหมด ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นว่าแผ่นดินจีนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ และประกอบด้วยผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ ยากที่จะบังคับให้ใช้อักษรรูปแบบเดียวกันทั้งประเทศได้สำเร็จ
องค์ความรู้ส่วนใหญ่ของแผ่นดินจีนถูกเก็บรักษาไว้ในราชสำนักหรือตามพระอารามต่างๆ ชาวบ้านทั่วไปไม่ใคร่จะรู้หนังสือนัก จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา ห้องสมุดของจีนจึงถูกจำกัดอยู่ในวงแคบๆ กว่าจะเริ่มเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างจริงจังก็คือในช่วงปี ค.ศ.๑๙๐๐
สำหรับประวัติศาสตร์ของห้องสมุดในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นเมื่อใดไม่ปรากฏแน่ชัด แผ่นดินสุวรรณภูมิในยุคสมัยที่ขอมเรืองอำนาจ มีการค้นพบโบราณสถานที่คาดว่าเป็นที่เก็บรวบรวมตำรา คัมภีร์ หรือจะเรียกว่าเป็นห้องสมุดในยุคแรกๆ เลยก็ว่าได้ เรียกว่า ครันทาลัย (Granthalaya) หรือคนไทยเรียกว่า บรรณาลัย คำว่า บรรณ หมายถึงหนังสือ คำว่า อาลัย หมายถึงสถานที่ ที่อยู่ อาจเทียบได้กับคำว่า วิทยาลัย บรรณาลัยเหล่านี้ถูกพบในประเทศกัมพูชา มีลักษณะคล้ายปราสาท สร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาพระคัมภีร์ต่างๆ ส่วนมากจะพบอยู่ภายในเทวสถาน จึงหมายความว่าเอกสารโบราณต่างๆ ถูกรวบรวมไว้โดยบรรดานักบวชเป็นสำคัญ
ปราสาทบันทยสรี (Banteay Srei) ในกัมพูชา มีส่วนที่เป็นบรรณาลัยรวมอยู่ด้วย
บรรณาลัยในปราสาทตาเมือน ที่จังหวัดสุรินทร์
(ภาพจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=mosminly&group=1)
สำหรับประเทศไทยนั้น เราเริ่มมีการใช้อักษรไทยในสมัยแผ่นดินสุโขทัย แต่เดิมทีนั้นอาณาจักรนี้เป็นเมืองขึ้นของพวกขอม ต่อมาเมื่อปฐมกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงได้สถาปนากรุงสุโขทัยขึ้นและประกาศอิสรภาพ มีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องรวมถึงวัฒนธรรมการใช้ภาษา ในรัชสมัยสมเด็จพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มีการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรก (ราวปี พ.ศ. ๑๘๒๖) โดยยังคงได้อิทธิพลมาจากภาษาขอมโบราณ นำมาประยุกต์ให้เป็นภาษาไทยเรียกว่า “ลายสือไทย” มีข้อความตอนหนึ่งบันทึกไว้ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งความว่า “เมื่อก่อนลายสือไทยนั้นบ่มี ๑๒๐๕ ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้”
ในสมัยโบราณชาวไทยส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้หนังสือ การอ่านการเรียนหนังสือเป็นสิทธิ์ของเจ้านายในราชสำนัก หรือพวกข้าราชสำนัก เจ้าขุนมูลนายในรั้วในวัง ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องการใฝ่หาความรู้มากนัก เรื่องของห้องสมุดจึงไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะมีขึ้นแล้วเมื่อไทยเริ่มมีการใช้ภาษาเป็นของตนเอง แต่น่าจะคงอยู่ในราชสำนัก เป็นห้องสมุดส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ และอีกสถานที่หนึ่งที่น่าจะมีการเก็บรวบรวมสรรพตำราต่างๆ รวมถึงพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาคือที่วัด และวัดที่มีการจัดเก็บทำนองนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าต้องเป็นวัดที่อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าแผ่นดิน
หลักศิลารารึก ของสมเด็จพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือสำคัญไว้เล่มหนึ่งคือ “เตภูมิกถา” หรือ ไตรภูมิพระร่วง (ราวปี พ.ศ. ๑๘๘๘) เป็นการรวบรวมเรื่องราวทางพระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาหลากหลายเรื่อง จัดเป็นวรรณกรรมทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของไทย กล่าวถึงการก่อกำเนิดภูมิทั้งสาม คือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และเล่าถึงการเกิดของสรรพชีวิตต่างๆ โดยอ้างอิงจากพระคัมภีร์โบราณ เตภูมิกถาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณากรรมชิ้นแรกของประเทศไทย
เอกสาร หนังสือราชการ หรือบันทึกต่างๆ นั้น จารึกลงบนใบลาน แล้วนำมาผูกเรียงต่อกันพับทบซ้อนเป็นชั้นๆ เรียกว่า หนังสือผูก มีการสร้างสถานที่เก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง เรียกว่า หอหลวง เพื่อเก็บรักษาเอกสารของราชสำนักเหล่านี้ไว้โดยเฉพาะ นี่จึงอาจจะอนุมานได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของห้องสมุดของประเทศไทยก็ว่าได้
ล่วงเข้าสู่แผ่นดินกรุงศีอยุธยา เป็นช่วงที่ประชาชนกินดีอยู่ดี แผ่นดินร่วมเย็นเป็นสุข ปราศจากศึกสงคราม ในน้ำมีปลาในนามีข้าว เมื่อประชาชนใช้ชีวิตกันอย่างปรกติสุข จึงเริ่มมีเวลาหันมาสนใจศึกษาเรียนรู้ในเรื่องราวต่างๆบรรดาผู้มีทรัพย์ส่วนใหญ่จึงมักส่งบุตรหลานของตนไปร่ำเรียนวิชาตามสำนักวิชาต่างๆ ทั้งสรรพวิชาความรู้ในทางโลกและทางธรรม รวมทั้งศิลปวิชาการต่อสู้ ซึ่งนอกจากสำนักวิชาที่มีอยู่ทั่วไปแล้วอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นแหล่งศึกษาวิชาความรู้ก็คือวัด
หนังสือผูก หรือหนังสือใบลานของไทย (ภาพจากเว็บกาญจนาภิเษก)
ภายหลังที่มีการใช้ภาษาไทยมาต่อเนื่องยาวนาน ตำราต่างๆ จึงไม่ได้ถูกเก็บไว้แต่เพียงในราชสำนักอีกต่อไป โดยเฉพาะคัมภีร์ทางพุทธศาสนา วัดอารามต่างๆ มีการคัดลอกและเก็บรวบรวมพระคัมภีร์เหล่านี้ไว้ และยังรวมถึงตำราความรู้ในทางโลกอีกด้วย มีการสร้างอาคารสำหรับเก็บรักษา เรียกว่า หอไตร เก็บรักษาหนังสือผูกหรือหนังสือใบลานซึ่งบางส่วนยังคงหลงเหลือให้เห็นเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่จนถึงปัจจุบัน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยานับได้ว่าเป็นยุคทองหรือยุครุ่งเรืองของวรรณกรรมไทย มีการประพันธ์หนังสือและวรรณกรรมมากมายหลายเรื่อง นั่นหมายถึงมีการพัฒนาการทางภาษาอย่างดียิ่ง เมื่อมีการสร้างวรรณกรรมมากมายจึงจำเป็นต้องมีการจัดเก็บรักษา ดังนั้นจึงน่าจะมีการสร้างห้องสมุดขึ้นเพียงแต่ในยุคนั้นน่าจะยังคงเป็นห้องสมุดส่วนบุคคลเหมือนในสมัยสุโขทัย คือเป็นห้องสมุดส่วนตัวของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือบรรดาเศรษฐีต่างๆ มากกว่า เว้นแต่ตำราทางศาสนาที่มีการเก็บรักษาและใช้อยู่ภายในวัด
ต่อตอนหน้า รับรองจบแน่
กิจการห้องสมุดเฟื่องฟูอย่างสุดขีดในยุคทอง (Golden Ages) ในช่วงปี ค.ศ.๑๖๐๐ เป็นต้นมา ประกอบกับความเจริญรุ่งเรืองของสถาบันการศึกษาหลายๆ แห่งในยุโรป มีการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย และยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายรัฐ ทำให้กิจการห้องสมุดพัฒนาขึ้นอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด (Oxford University) มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษ ก็มีห้องสมุดที่เก่าแก่พอๆ กัน คือ Bodleian Library ก่อตั้งโดย Sir Thomas Bodley ในปี ๑๖๐๒ จัดเป็นห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองของเกาะอังกฤษ (อันดับหนึ่งคือ British Library) ว่ากันว่าถ้าเอาชั้นหนังสือของที่นี่มาเรียงต่อกันจะได้ระยะทางยาวถึง ๑๘๘ กิโลเมตรเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นห้องสมุดที่มีอัตราการขยายตัวสูงคือประมาณการณ์ว่าหากยังคงเอาชั้นหนังสือมาเรียงต่อกันก็จะขยายยาวได้ถึงเฉลี่ยปีละ ๕ กิโลเมตร ปัจจุบันหอสมุดแห่งนี้ก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่ที่อ๊อกฟอร์ด
Bodleian Library ภายในมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
ห้องสมุดที่อลังการที่สุดอีกแห่งหนึ่งในยุโรปคือ หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส (Bibliotheque Nationale de France) แต่เดิมเป็นหอสมุดของราชสำนัก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๕ ราวปี ๑๓๖๘ ได้รับการสนับสนุนอย่างมากในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ต่อมาในปี ๑๖๙๒ จึงเปิดให้สาธารณชนเข้าไปค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างเสรี ปัจจุบันหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสจัดเป็นห้องสมุดที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ของยุโรป ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่และสร้างอาคารใหม่เพิ่มเติมในปี ๑๙๘๘ ในยุคของประธานาธิบดีฟรังซัวร์ส มิตเตอรองด์ (President Francois Mitterrand) หอสมุดแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็นห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก*
หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส Bibliotheque Nationale de France
นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดที่มีความสำคัญอีกหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินยุโรป อย่างเช่นในอิตาลี ที่ยังคงสืบสานการพัฒนาห้องสมุดเมื่อครั้งยุคโรมันเรืองอำนาจ ห้องสมุดเด่นๆ ในอิตาลีมีอยู่มากมาย อาทิ ห้องสมุดลอเรนเทียน ในฟลอเรนซ์ (Laurentian Library, Florence) ห้องสมุดวาติกัน ในนครรัฐวาติกัน (Vatican Library, Vatican City) ห้องสมุดอัมโบรเซียม ในมิลาน (Ambrosian Library, Milan) นอกนั้นก็เช่น หอสมุดแห่งชาติสเปน ก่อตั้งเมื่อปี ๑๗๑๑ ตั้งอยู่ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน หอสมุดแห่งชาติโปรตุเกส ก่อตั้งเมื่อปี ๑๗๙๖ ตั้งอยู่ ณ กรุงลิสบอน ในประเทศเยอรมันมีห้องสมุดสำคัญอยู่สามแห่ง คือ หอสมุดแห่งชาติเยอรมัน ที่นครเบอร์ลิน ก่อตั้งเมื่อปี ๑๖๖๑ หอสมุดนครไลป์ซิก และหอสมุดนครแฟรงค์เฟิร์ต ถัดมาทางฝั่งยุโรปตะวันออกก็มี หอสมุดแห่งชาติรัสเซีย ที่แต่เดิมคือ หอสมุดเลนิน (Lenin State Library) ตั้งเมื่อปี ๑๘๖๒ เหล่านี้เป็นต้น
ข้ามจากยุโรปมาที่แผ่นดินอเมริกากันบ้าง ห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งคือ หอสมุดมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด (Havard University Library) หอสมุดแห่งนี้เริ่มต้นจากห้องสมุดส่วนตัวของสาธุคุณจอห์น ฮาวาร์ด (John Harvard) ที่มีหนังสือสะสมอยู่เพียง ๔๐๐ เล่ม แต่ตอนนี้มีหนังสืออยู่ที่นี่ถึงเกือบ ๑๖ ล้านเล่ม เป็นห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ห้าของโลก และเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Laurentian Library, Florence, ITALY ออกแบบและวางผังโดย ไมเคิล แองเจลโล
บรรยากาศภายในห้องสมุดนครรัฐวาติกัน
ห้องอ่านหนังสือที่โอโถงของหอสมุดแห่งชาติสเปน
ห้องอ่าหนนังสือของหอสมุดแห่งชาติรัสเซีย ได้บรรยากาศสังคมนิยมดีแท้
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน Library of Congress ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และที่จะข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดคือ หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน Library of Congress ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี จัดเป็นหอสมุดแห่งชาติของอเมริกาและเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก ก่อตั้งเมื่อปี ๑๘๐๐ เดิมทีนั้นตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางกฎหมายและข้อมูลของทางราชการ ต่อมาได้มีการขยายเนื้อที่และเพิ่มเติมเอกสารอื่นๆเข้าไป จนในปี ๑๘๑๕ ถึงได้เปิดเป็นห้องสมุดสาธารณให้ประชาชนสามารถเข้าใช้ค้นคว้าได้โดยทั่วไป ทุกวันนี้หอสมุดรัฐสภาอเมริกันจัดเป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีอัตราการขยายตัวของข้อมูลสูงมาก รวบรวมเอกสารและข้อมูลทุกรูปแบบ ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า ๙๐ ล้านรายการ … (ต่อตอนหน้าจ้ะ)
* ห้องสมุดที่ใหญ่ที่ในโลก ๕ อันดับแรก ได้แก่
๑. Library of Congress
๒. British Library
๓. Bibliotheque Nationale de France
๔. New York Public Library
๕. Havard University Library
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่
เรื่องของ “ห้องสมุด” ที่มีแต่ “หนังสือ” ตอนที่ ๑ / ตอนที่ ๒
พวกกรีกก็นับว่ามีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับหอสมุดอยู่บ้าง เพซิสตราตัส (Pisistratus) ผู้ครองนครเอเธนส์ได้สร้างหอสมุดประชาชนขึ้นในเอเธนส์ บริหารงานโดยรัฐสภาเอเธนส์ แต่ปรากฏว่าคนกรีกไม่ค่อยเข้าไปใช้ เพราะส่วนใหญ่ยังอ่านหนังสือไม่ออก จนมาถึงยุคของ อริสโตเติล (Aristotle) เขาได้สร้างหอสมุดขึ้นมาในวิทยาลัยไลเซียม (Lyceum) ของเขา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็ฯแม่แบบของการสร้างห้องสมุดมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เอกสารมากมายได้ถุกส่งต่อไปยังหอสมุดอเล็กซานเดรียในเวลาต่อมา และท้ายที่สุดเมื่อพวกโรมันบุกเข้าครองอียิปต์ เอกสารเหล่านี้ก็ถูกขนย้ายไปเป็นสมบัติส่วนตัวของนายพล ลูเซียส คอร์เนเลียส ซูลล่า ในกรุงโรม
อริสโตเติล ปราชญ์ชาวกรีก
สถานที่ตั้งของ Lyceum ในปัจจุบัน
ในช่วงปลายของความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอียิปต์ จักรวรรดิโรมันกำลังเรืองอำนาจอย่างสุดขีด พวกโรมันขยายความยิ่งใหญ่โดยใช้สงครามเครื่องมือ ใครหือพ่อฟันไม่เลี้ยง จนจักรวรรดิโรมันยิ่งใหญ่ครองยุโรปเกือบทั้งหมด แม้ว่าจะรบพุ่งเก่งแค่ไหน ชาวโรมก็ยังสนใจใฝ่ศึกษากะเขาเหมือนกัน วัฒนธรรมบางอย่างนั้นรับเอามาจากพวกกรีกหรือพวกอียิปต์ โดยเฉพาะตำราความรู้ต่างๆ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกรีกแบบเต็มๆ
ซีซาร์ที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งเผาอเล็กซานเดรียนับเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์พอตัว เขามองออกว่าการติดอาวุธทางปัญญาให้ชาวโรมนั้นสำคัญพอๆ กับการเป็นนักรบ ซีซาร์เป็นตัวตั้งตัวตีในการวางแผนสร้างหอสมุดประชาชนขึ้น ปรกติในโรมก็มีห้องสมุดจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนมากเป็นห้องสมุดส่วนตัวของพวกคหบดีหรือพวกขุนนางที่พอจะมีทรัพย์เหลือเฟือ แต่ซีซาร์ไม่ทันได้อยู่ดูหอสมุดในฝันของเขา หอสมุดแห่งนี้ชื่อว่า หอสมุดอ๊อคเตเวียน (Octavian Library) สร้างเสร็จหลังการเสียชีวิตของซีซาร์ ๗ ปี (๓๗ ปีก่อนคริสตกาล) จากนั้นก็มีการสร้างหอสมุดเพิ่มขึ้นอีกมากมายถึง ๒๘ แห่ง ที่โด่งดังที่สุดคือ หอสมุดอัลเพียน (Ulpian Library) สร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิทราจัน (Emperor Trajan) มีการสร้างอาคารสำหรับเก็บเอกสารกรีกและละตินออกจากกัน
ที่เห็นเด่นชัดที่สุดอีกแห่งหนึ่งคือ หอสมุดเฮเดรียน (The Library of Hadrian) สร้างโดยจักรพรรดิเฮเดรียน ในปีคริสตศักราชที่ ๑๒๕ ทุกวันนี้ยังคงเหลือซากอาคารให้ได้ชมที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ
บริเวณหอสมุดเฮเดรียนในปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดี
ความรุ่งเรืองของหอสมุดเสื่อมถอยลงตามความเสื่อมของจักรวรรดิโรมัน เอกสารถูกทำลายไปบางส่วน เอกสารส่วนหนึ่งตกไปอยู่กับขุนนางที่ชื่อ ลูเซียส คัลเปอร์นิอัส ปิโซ (Lucius Calpurnius Piso) เขาอาศัยอยู่ที่เมืองเฮอร์คัลเลเนียม (Herculaneum) เชิงเขาวิซูเวียส ใกล้กับนครปอมเปอี จนกระทั่งเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ของวิซูเวียส ปอมเปอีทั้งเมืองรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงถูกกลบจมหายอยู่ใต้คลื่นลาวา นักโบราณคดีจึงได้ขุดค้นพบหอสมุดของเขาพร้อมกับเอกสารเป็นม้วนปาริรัสมากถึง ๑,๘๐๐ ม้วนให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้า ปัจจุบันม้วนปาปิรัสเหล่านี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรุงเนเปิ้ลส์ ประเทศอิตาลี
ระหว่างช่วงปี ๑๙๔๐ ถึง ๑๙๕๐ มีการค้นพบทางโบราณคดีที่นับว่าสำคัญมากๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณใกล้กับทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) ประเทศอัฟกานิสถาน มีการค้นพบม้วนหนังสัตว์และม้วนปาปิรัสจำนวนมากบรรจุอยู่ในภาชนะดินเผาลักษณะคล้ายไหหรือตุ่มขนาดย่อมๆ บันทึกพระคัมภีร์ของพวกยูดายหรือพวกยิว และค้นพบว่าบางม้วนเป็นพระคัมภีร์เก่าหรือพันธะสัญญาเดิม (Old Testament) นับอายุได้ราว ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล จนอาจกล่าวได้ว่านั่นอาจจะเป็นไบเบิลฉบับที่เก่าแก่ที่สุดฉบับหนึ่งที่มีการค้นพบ ม้วนเอกสารที่ว่านี้มีทั้งหมดถึง ๑๑ ถ้ำ เอกสารเหล่านี้รู้จักกันในนาม Dead Sea Scrolls บางส่วนถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เยรูซาเล็ม พิพิธภัณฑ์ร็อกกี้เฟลเลอร์ และพิพิธภัณฑ์อัมมัน ประเทศจอร์แดน
ด้วยความที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในถ้ำกลางทะเลทราย อากาศที่แห้งขนาดนั้นทำให้ช่วยเก็บรักษาสภาพของเอกสารไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่คำถามก็คือเหตุใดและใครกันแน่ที่นำเอกสารเหล่านี้มาเก็บไว้ในถ้ำลี้ลับแห่งนี้ ?
Dead Sea Scrolls
ภาชนะดินเผาที่ใช้บรรจุพระคัมภีร์
เมื่อจักรวรรดิโรมันเริ่มเสื่อมอำนาจลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่โรมันสร้างขึ้นหรือดำเนินกิจกรรมอยู่ก็เริ่มเสื่อมถอยตาม รวมถึงกิจการห้องสมุดด้วย นักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นอย่าง อัมเมียนาส มาเซลลินัส (Ammianus Marcellinus) เคยเอ่ยประโยคสำคัญไว้ว่า “ห้องสมุดกำลังถูกปิดไปตลอดกาล ไม่ต่างอะไรจากหลุมศพ” (The Libraries are closing forever, like tombs)
ในยุคกลาง (Middle ages) กิจการห้องสมุดไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดการของราชสำนักหรือของรัฐเหมือนเดิม แต่ถูกเปลี่ยนมือมาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของศาสนจักร วัดหรือศาสนสถานกลายเป็นผู้รวบรวม บันทึก คัดลอก เอกสารสำคัญต่างๆ มาเก็บไว้ โดยเฉพาะคำสอนทางศาสนาหรือไบเบิลไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมวรรณกรรมสำคัญๆ ของกรีก อียิปต์และโรมันไว้ด้วย
ด้วยความที่ต้องใช้วิธีการเขียนด้วยมือในการบันทึกหรือคัดลอกเอกสาร คัมภีร์ต่างๆ ในสมัยนั้นจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก และยิ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาหรือไบเบิล นั่นยิ่งถือว่าเป็นของที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ จึงถูกเก็บรักษาไว้อย่างแน่นหนาภายในห้องสมุดของวัดหรือของศาสนสถาน
St.Catherine’s Monastery ในประเทศอียปต์
ปี ค.ศ. ๕๒๗ มีการสร้างวัดของชาวคริสต์ที่ซีนาย (Sinai) คือบริเวณประเทศอียิปต์ในปัจจุบัน ชื่อว่า St. Catherine’s Monastery ซึ่งถือว่าเป็นวัด (คริสต์) ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และแน่นอนว่ามีห้องสมุดที่เก็บรักษาพระคัมภีร์และวรรณกรรมสำคัญๆ มากกว่า ๓,๕๐๐ ชุด บันทึกเป็นภาษาโบราณทั้งสิ้น อาทิ กรีก คอปติค อราบิค อาร์มาเนียน ฮิบรู ซลาวิค เป็นต้น ปัจจุบันวัดแห่งนี้ก็ยังมีอยู่
เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) เป็นช่วงเวลาที่ยุโรปตื่นตัวกับการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในสรรพวิชาต่างๆ เกิดนักคิด นักวิชาการและศิลปินขึ้นมากมาย ห้องสมุดกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้กลับมาเป็นห้องสมุดส่วนบุคคลซึ่งก็จะเป็นขุนนางหรือพวกคหบดีต่างๆ ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือห้องสมุดของ คอสสิโม เดอ เมดิซี (Cosimo de Medici) ตระกูลดังแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นตระกูลเศรษฐีที่ให้การสนับสนุนศิลปินดังๆ มากมาย … (ติดตามต่อตอนหน้าจ้ะ)
อ่านบทแรกได้ที่นี่ **เรื่องของ “ห้องสมุด” ที่มีแต่ “หนังสือ” ตอนที่ ๑**
Webster’s Third New International Dictionary ได้ให้ความหมายของคำว่า Library ว่า “a room, a section or series of sections of a building, or a building itself given over to books, manuscripts, musical scores, or other literary and sometimes artistic materials (as paintings or musical recordings) kept in some convenient order for use but not for sale”
Longman Dictionary of Contemporary English ให้ความหมายของ Library ไว้ว่า “a room or building containing books that can be looked at or borrowed”
Encyclopedia Britanica ให้คำจำกัดความของ Library ไว้ว่า “a collection of written, printed or other graphic material (including films, slides, phonography records and tapes) organized for use”
ส่วนในประเทศไทย คำว่า Library ถูกบัญญัติให้ใช้ว่า “ห้องสมุด” โดยใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายว่า “ห้องหรืออาคารที่มีระบบจัดเก็บรวบรวมรักษาหนังสือประเภทต่างๆ ซึ่งอาจรวมทั้งต้นฉบับลายมือเขียน ไมโครฟิล์ม เป็นต้น เพื่อใช้เป็นที่ค้นคว้าหาความรู้”
นี่คือตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของการให้ความหมายของคำว่า Library หรือ ห้องสมุด ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ คำว่า Library คำเดียวตามที่ฝรั่งเขาใช้กัน มีความเข้าใจไปในทางเดียวกัน ครอบคลุมสิ่งที่เรียกว่าเป็น Information ทุกประเภท แต่คำว่าห้องสมุดในภาษาไทย กลับสามารถตีความตามตัวอักษรออกไปได้อีก โดยเฉพาะความหมายตรงของคำว่า “สมุด” กับความเข้าใจของคนไทยกับคำว่า “ห้องสมุด” และสิ่งที่อยู่ในนั้นก็คือ “หนังสือ”
คำว่า สมุด ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า “กระดาษที่ทําเป็นเล่ม มีหลายชนิดเรียกชื่อตามประโยชน์ใช้สอย เช่น สมุดวาดเขียน สมุดแผนที่ สมุดแบบฝึกหัดคัดลายมือ”
คำว่า หนังสือ ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้ว่า “เครื่องหมายใช้ขีดเขียนแทนเสียงหรือคําพูด เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ “
ฉะนั้น หากผมจะตีความตามประสาคนรู้น้อยคงจะได้ความว่า สมุด เป็นต้นกำเนิดของหนังสือ เพราะสมุดคือกระดาษว่างๆ จนกระทั่งเราบันทึกอะไรลงไปนั่นแหละมันจึงกลายเป็นหนังสือ ทีนี้ก็จึงมีคำถามขึ้นมาว่า ห้องสมุด แต่เหตุไฉนจึงมีแต่หนังสืออยู่เต็มไปหมด
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อหนังสือเกิดจากสมุดเราจึงเรียกสถานที่เก็บว่าห้องสมุด คำๆ นี้ถูกบัญญัติขึ้นใช้อย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ ๖ แต่โดยก่อนหน้านี้มีหลักฐานปรากฎว่าเราเคยใช้คำนี้มาก่อนแล้ว คือคำว่า หอพระสมุด ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นั่นหมายความถึงสถานที่ที่เป็นของหลวงหรือภายในพระบรมมหาราชวัง แต่สุดท้ายเหตุผลที่เรายังคงใช้คำว่าห้องสมุดแทนคำว่าห้องหนังสือนั้นก็ยังไม่ปรากฎแน่ชัด เพราะเนื่องจากมันแปรเปลี่ยนจากสมุดมาเป็นหนังสือแล้วก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้คำว่าสมุดเลย
ในสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีการพิมพ์ การทำหนังสือในสมัยก่อนต้องอาศัยการเขียนด้วยลายมือแต่เพียงอย่างเดียว อันที่จริงเทคโนโลยีการพิมพ์ของบ้านเราน่าจะเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.๒๑๗๕-๒๒๓๑) เป็นช่วงที่มีพวกมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในกรุงศรีอยุธยา มีบาทหลวงผู้หนึ่งชื่อ บาทหลวงลาโน (Laneau) เป็นชาวฝรั่งเศส ได้นำแท่นพิมพ์เข้ามาเพื่อจัดพิมพ์หนังสือคำสอนออกเผยแพร่ เป็นที่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระนารายณ์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อศึกษาวิธีการพิมพ์ตามแบบของฝรั่ง เพื่อนำมาใช้ในกรุงศรีอยุธยา แต่ครั้นสิ้นแผ่นเดินสมเด็จพระนารายณ์ กิจการโรงพิมพ์ของฝรั่งในกรุงศรีอยุธยาก็เสื่อมถอยลง ด้วยเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ถัดมาไม่ใคร่โปรดพวกฝรั่งนัก
หมอบรัดเลย์
กิจการการพิมพ์ของไทยเริ่มต้นอย่างจริงจังเป็นที่รู้จักกันดีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ โดยผู้ที่เริ่มกิจการเป็นผู้แรกคือ นายแพทย์ แดน บีช แบรดลี่ย์ (Dan Beach Bradley, M.D.) หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า หมอบรัดเลย์ โดยท่านเดินทางเข้ามาเมืองไทยเพื่อเผยแพร่ศาสนาและก็ได้เปิดร้านรักษาผู้คนไปด้วย ซึ่งวิธีหนึ่งการเผยแพร่ศาสนาของท่านนั้นคือการพิมพ์หนังสือ งานแรกที่โรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้ผลิตขึ้นมาเป็นใบประกาศห้ามสูบและห้ามค้าฝิ่น ซึ่งนับเป็นเอกสารราชการของไทยฉบับแรกที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์
จากนั้นมากิจการการพิมพ์ของไทยก็เจริญรุดหน้าขึ้นมาเป็นลำดับ มีหนังสือถูกพิมพ์ออกมาจำหน่ายมากมายปีละหลายเล่ม และในปัจจุบันประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีพัฒนาทางเทคโนโลยีทางการพิมพ์มาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าโรงพิมพ์ในบ้านเรานั้นทันสมัยทัดเทียมกับต่างประเทศได้เลยทีเดียว
เมื่อมีหนังสือเกิดขึ้นก็ย่อมมีการเก็บรักษาจนเกิดกลายเป็นห้องสมุด แล้วห้องสมุดนี่มันกำเนิดขึ้นมาเมื่อไหร่กัน
หากจะนับเอานิยามของห้องสมุดเป็นสถานที่เก็บหนังสือที่มีการเก็บอย่างเป็นระบบ อาจจะใช้ไม่ได้กับห้องเก็บหนังสือในยุคก่อน ซึ่งคงยังไม่มีระบบในการจัดเก็บเป็นแน่ อีกทั้งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ว่ามีห้อสมุดแห่งแรกของโลกเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ เราค้นพบเพียงแต่ห้องสมุดที่มีอายุเก่าแก่มากๆ เท่านั้น
คำว่าห้องสมุดในภาษาฝรั่ง Library กำเนิดมาจากภาษาละตินคำว่า Liber ที่แปลว่า หนังสือ แต่หนังสือในยุคแรกๆ ไม่ใช่เป็นรูปเล่มอย่างที่เราเห็น นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งช่วงอายุของการศึกษาทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคประวัติศาสตร์ โดยเอาการถือกำเนิดของการบันทึกเป็นเกณฑ์ตัดสิน หมายถึงว่าช่วงเวลาที่มนุษย์มีการจารึกข้อความลงเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ให้ถือว่าช่วงนั้นเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ เพราะถือว่าเริ่มมีการบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐานนั่นเอง
การบันทึกข้อมูลในยุคโบราณทำบนแผ่นดินเหนียวบ้าง ใบไม้บ้าง แผ่นไม้บ้าง แผ่นหินบ้าง หนังสัตว์ จนเริ่มมีการคิดค้นสร้างกระดาษขึ้นมาเกิดเป็นกระดาษปาปิรัส และผู้ที่ทำการบันทึกก็มิใช่คนธรรมดา ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ก็คือพวกนักบวช หมอผี นักปราชญ์ที่อยู่ในราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าห้องสมุดแห่งแรกน่าจะถือกำเนิดภายในราชสำนัก
รูปสลักพระเจ้าซาร์กอนแห่งอัสซีเรีย
มีการค้นพบห้องสมุดโบราณแห่งหนึ่งกลางทะเลทราย นับอายุได้ราว ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เป็นห้องสมุดของพระเจ้าซาร์กอน แห่งอัสซีเรีย ค้นพบแผ่นดินเหนียวจารึกอักษรรูปลิ่ม หรืออักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นของชาวสุเมเรียน เป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เป็นจุดเริ่มต้นของยุคประวัติศาสตร์ในดินแดนแถบนี้ (หรืออาจจะของโลก)
อาณาจักรโบราณได้เกิดขึ้นและสูญสลายไปตามวัฏจักรจนมาถึงอารยธรรมที่ศิวิไลซ์มากที่สุดแห่งหนึ่งคือ อารยธรรมไอยคุปต์ ของชาวอียิปต์ พวกเขาถือว่าเจริญก้าวหน้ามากกว่าอาณาจักรใดๆ ในยุคเดียวกัน ทั้งเรื่องของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี การปกครอง วิทยาศาสตร์ และด้วยความที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักการเรียนรู้ มีการสะสมองค์ความรู้มาช้านาน จึงมีการรวบรวม บันทึกข้อมูลต่างๆ เก็บไว้จนเกิดเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่ขึ้นมา
ภาพวาดหอสมุดอเล็กซานเดรีย จาก Encyclopedia Americana
ในสมัยของฟาโรห์ปโตเลมีที่ ๑ ทรงสร้าง หอสมุดอเล็กซานเดรีย (Library of Alexandria) ขึ้น นักประวัติศาสตร์ในยุคนี้ได้เอ่ยถึงหอสมุดแห่งนี้ว่าเป็นเสมือนคลังความรู้ที่ยิ่งใหญที่สุดในโลกยุคโบราณ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกแขนงวิชาเป็นแผ่นปาริรัสมากมายถึง ๕ แสนกว่าม้วน มีการจัดเรียงอย่างเป็นระบบ แบ่งหมวดหมู่ ทำบทคัดย่อ (Abstract) มีบทวิจารณ์ (Review) เรียกว่าเหมือนเป็นห้องสมุดในสมัยนี้เลยทีเดียว
แต่ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นกับหอสมุดแห่งนี้ หากท่านที่เคยชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง คลีโอพัตรา (Cleopatra) ที่สร้างโดยฮอลิวู้ดในปี ๑๙๖๓ ที่มี อลิซาเบธ เทย์เลอร์ เล่นเป็นพระนางคลีโอพัตราผู้เลอโฉม ริชาร์ด เบอร์ตัน เล่นเป็น มาร์ค แอนโธนี่ และ เรกซ์ แฮร์ริสัน เล่นเป็น จูเลียต ซีซาร์ คงจำกันได้ว่ามีฉากหนึ่งที่พูดถึงหอสมุดอเล็กซานเดรีย เมื่อกองทหารของซีซาร์บุกมายังอียิปต์เพื่อปราบปรามพวกกบฎโดยการเผาเมือง น่าเสียดายว่าไอ้ที่เผาไปนั่นดันลามไปถึงหอสมุดแห่งนี้ด้วย ว่ากันว่าพระนางคลีโอพัตราถึงกับรับสั่งให้ดับไฟที่หอสมุดก่อนโดยไม่ได้ห่วงเลยว่าไฟจะลามมาถึงพระราชวังของพระองค์ ด้วยความที่พระนางเป็นผู้ที่ใฝ่ศึกษาและรักการแสวงหาความรู้ การสูญเสียแหล่งความรู้เช่นนี้ไปจึงสร้างความเสียใจให้พระนางยิ่งนัก
ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หอสมุดอเล็กซานเดรีย ต้องเสียม้วนปาปิรัสไปกว่าครึ่งหนึ่ง และท่านเชื่อหรือไม่ว่าส่วนหนึ่งนั้นถูกทหารโรมันเอาไปทำเป็นเชื้อฟืนเพื่อต้มน้ำร้อนอาบกัน
ติดตามต่อได้ที่ เรื่องของ “ห้องสมุด” ที่มีแต่ “หนังสือ” ตอนที่ ๒