ชาร์ลส์ โจเซฟ วิทแมน เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญ ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไร ไม่ใช่ดารา เขาเป็นเพียงชายหนุ่มวัยเบญจเพสธรรมดาคนหนึ่ง แต่แล้วในเช้าวันที่ ๑ สิงหาคม ๑๙๖๖ วิทแมน ก็ทำให้ชาวโลกได้รู้จักเขา
วิทแมน เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๑๙๔๑ ในครอบครัวอเมริกันชนธรรมดาสามัญในฟลอริดา ชีวิตวัยเด็กของเขาก็ไม่แตกต่างจากเด็กชายทั่วไป เรียนหนังสือ เข้าโบสถ์ เป็นลูกเสือ ชอบเบสบอล มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาชอบเป็นนักหนาก็คือ ปืน ตอนอายุ ๑๖ เขาได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์คว่ำ จนต้องนอนอยู่โรงพยาบาลอยู่นาน
ปี ๑๙๕๙ วิทแมนเข้ารับราชการทหารเรือ และเข้าเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส ในอีกสามปีถัดมา เขาก็แต่งงานกับ เคธี่ ไลส์เนอร์ เพื่อนักศึกษาด้วยกัน หลังแต่งงานไม่นานเขาก็กลับไปรับราชการทหารอีกครั้ง แต่ก็ถูกปลดออกในปี ๑๙๖๔ และหันมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสเหมือนเดิม หลังจากนั้นเข้าทำงานที่กองทางด่วนประจำเท็กซัส ส่วนเคธี่เป็นครูสอนวิชาชีววิทยา
ในช่วงเวลานั้นอเมริกากำลังตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศ วิทแมน ต้องคอยดูและแม่ที่เพิ่งแยกทางกับพ่อ แม้แม่ของเขาจะพยายามหาเลี้ยงตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องเป็นภาระของลูก แต่เขาก็มักจะไปเยี่ยมแม่เสมอที่มีเวลา ส่วนพ่อของเขาก็มักจะโทรมาปรับทุกข์กับเขาเป็นประจำ รายได้ของเขามีค่อนข้างจำกัด เขาจึงต้องทำงานพิเศษเพิ่ม ช่วงนี้เขาเริ่มมีอาการเครียด ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และเริ่มโมโหง่าย จนบางครั้งก็มาระบายอารมณ์กับภรรยา
สมัยที่เขายังเด็ก พ่อของเขามักจะทุบตีแม่และตัวเขาบ่อย ๆ ด้วยพ่อเป็นคนที่โมโหร้ายและดื่มจัด วิทแมนจึงมีความหลังฝังใจกับการใช้ความรุนแรง ในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัส เขาเคยเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์ประจำมหาวิทยาลัย เนื่องจากเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเจ้าอารมณ์ ขี้หงุดหงิด และบ่อยครั้งที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่หลังจากเข้าการบำบัดอยู่ระยะหนึ่ง เขาก็ยกเลิกนัดกับหมอและพยายามจัดการปัญหาด้วยตัวเอง
สภาพศพของ มากาแร็ต แม่ของเขา และ เคธี่ ภรรยา
(ภาพจาก https://murderpedia.org/male.W/w/whitman-charles-victims.htm)
คืนวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๑๙๖๖ วิทแมน เขียนจดหมายระบายความคับแค้นใจในหลาย ๆ เรื่อง เขากล่าวโทษตัวเรื่องเรื่องที่ทำร้ายภรรยาและอารมณ์โกรธของเขาที่ระงับไม่ค่อยอยู่ รวมถึงการพยายามฆ่าตัวตาย และยังพล่ามถึงชีวิตอันไร้ค่าของเขาอีกด้วย
เที่ยงคืน วิทแมน เดินทางไปยังบ้านแม่ของเขาและทุบตีเธอและใช้มีดแทงเธอจนขาดใจตาย ก่อนจะย้อนกลับมาที่บ้านและทำเช่นเดียวกันกับภรรยา จากนั้นเขาก็พิมพ์จดหมายบรรยายความในใจขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ จากนั้น วิทแมน ก็หอบเขาปืนที่เขาเก็บสะสมไว้เมื่อครั้งยังเป็นทหารขนขึ้นรถ ระหว่างทางเขายังแวะซื้อเพิ่มอีกหลายกระบอก แล้วมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเท็กซัส เขามุ่งตรงไปยังหอนาฬิกาประจำมหาวิทยาลัย ก่อนจะเริ่มเหนี่ยวสังหารเหยื่อรายแรก !
วิทแมน พบกับ เอ็ดน่า ทาวน์สลี่ย์ พนักงานของมหาวิทยาลัยที่ชั้นที่ ๓๐ ของหอนาฬิกา เขาทุบเธอด้วยด้ามปืนจนเสียชีวิต จากนั้นก็เริ่มส่องปืนมายังเบื้องล่าง มาร์ค เกเบอร์ เด็กหนุ่มที่บังเอิญอยู่แถวหอนาฬิกาพร้อมกับครอบครัวพอดี ถูกกระสุนปืนเข้าอย่างจังและล้มลงสิ้นใจแทบจะในทันที ไม่เพียงเท่านั้น แม่ของเกเบอร์ก็โดนยิงเข้าด้วย เธอไม่เสียชีวิตแต่ก็บาดเจ็บสาหัส วิทแมน เริ่มเล็งลงมาจากหอนาฬิกาและเลือกเหยื่อตามแต่ใจต้องการ โดยที่เขาไม่ได้รู้จักกับเหยื่อหรือมีความแค้นอะไร เขาฆ่าเพื่ออะไร ไม่มีใครรู้
เหยื่อรายถัดมาคือว่าที่คุณแม่ แคลร์ วิลสัน เธอถูกยิงเข้าที่ท้องก่อนจะล้มลง โทมัส เอ็คแมน นักศึกษาหนุ่มวิ่งเข้ามาประคองเธอก่อนจะถูกยิงเสียชีวิตเป็นรายถัดมา วิลสัน รอดตาย แต่ลูกในท้องของเธอเสียชีวิต
เกือบครึ่งชั่วโมงจากนั้น วิทแมน ยังคงสาดกระสุนในผู้คนอย่างเมามัน ท่ามกลางความโกลาหลไปทั้งมหาวิทยาลัย มีผู้เสียชีวิต ๙ ราย บาดเจ็บอีกนับสิบ ตำรวจพยายามเข้าระงับเหตุ โดยนำเฮลิคอปเตอร์แบขึ้นไปใกล้หอนาฬิกา แต่ก็ถูก วิทแมน สาดกระสุนใส่จนต้องล่าถอย ในที่สุดทีมตำรวจก็ตัดสินใจบุกขึ้นบนหอนาฬิกาเพื่อเข้าประชิดตัว
กว่าสองชั่วโมงระทึกใจ สุดท้าย ชาร์ลส์ วิทแมน ถูกตำรวจวิสามัญบนหอนาฬิกานั่นเอง ข้อมูลบางแหล่งสรุปว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด ๑๕ ราย แต่บางแหล่งก็อ้างว่ามีถึง ๑๙ ราย ส่วนจำนวนผู้บาดเจ็บมีถึง ๓๑ คน
บรรดาสรรพอาวุธที่ วิทแมน ขนขึ้นไปหนหอนาฬิกา ถัดมาเป็นสภาพเหยื่อที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล ซึ่งบางรายก็สิ้นใจเสียก่อน
ชื่อของ วิทแมน กลายเป็นสัญลักษณ์ของความบ้างคลั่งอย่างไร้เหตุผล การระทำของเขาก่อให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมากมาย เหตุการณ์การสังหารหมู่ในสหรัฐแทบทุกครั้งมักจะถูกนำมาโยงถึงเหตุการณ์ในเท็กซัสครั้งนี้ อย่างเช่นกรณีที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค นักศึกษาชาวเกาหลีสาดกระสุนใส่เพื่อนๆ จนเสียชีวิตไปถึง ๓๒ ศพ ผู้เชี่ยวชาญทางอาชญวิทยาเชื่อว่า ฆาตกรเหล่านี้มีความผิดปกติทางด้านจิตใจ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ประกอบกับปัญหาส่วนตัว ความเครียด การแข่งขันในสังคม ประกอบกับความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า และต้องการแสดงอำนาจเหนือผู้อื่น
แต่ในกรณีของ วิทแมน เขาน่าสงสารยิ่งกว่านั้น เมื่อแพทย์ทำการชันสูตรศพของเขา พบว่าที่สมองมีเนื้องอกขนาดใหญ่กดทับประสาทในส่วนของการควบคุมอารมณ์ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่งต้องก่อเหตุชวนช็อค และต้องจบชีวิตอย่างน่าเวทนา