หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เสนอบทความเรื่อง “อิสราเอล-ปาเลสไตน์ คู่แค้นถาวรแห่งตะวันออกกลาง” ลงใน weblog ได้หนึ่งปี ปรากฏว่ามีผู้ให้ความสนใจเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมากพอสมควร ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ ข้อมูลที่ได้จากการทำการบ้านจากหลากหลายแหล่งข้อมูล หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ท่านบ้าง หากมีส่วนใดผิดพลาดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ปัจจุบัน เหตุการณ์ในดินแดนแถบนี้ได้กลับมาร้อนเป็นไฟอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณฉนวนกาซ่า ดินแดนของปาเลสไตน์ มีผู้คนล้มตายมากมายจนส่งผลกระทบไปทั่วโลก ข้าพเจ้าจึงขอเสนอบทความนี้ในตอนที่ห้า ซึ่งจะต่อเนื่องจากที่ค้างไว้แต่เดิม
“อิสราเอล-ปาเลสไตน์ คู่แค้นถาวรแห่งตะวันออกกลาง”
ภายหลังการเจรจาสันติภาพที่กรุงออสโลในปี ๑๙๙๓ สถานการณ์ในตะวันออกกลางก็มีท่าทีที่สงบลง แต่แท้จริงแล้วสนธิสัญญานั้นเป็นเพียงแผ่นกระดาษที่หลอกลวงชาวโลก ความพยายามในฐานะตำรวจโลกของฝั่งอเมริกา นำโดยประธานาธิบดีคลินตัน กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเพียงหนึ่งปีให้หลังก็เกิดการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายเหมือนเช่นเดิม
ตำรวจโลกอย่างอเมริกาไม่ยอมวางตัวเป็นกลาง แม้ว่าปากจะพร่ำบอกเสมอว่าขอเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อบาดหมางในดินแดนนี้ แต่พฤติกรรมของอเมริกากลับส่อให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพี่เลี้ยงชั้นดีที่คอย หนุนหลังอิสราเอลอยู่ ทั้งอย่างลับๆ และแบบเปิดเผย
แต่แล้วจู่ๆ ความตึงเครียดก็เริ่มคลี่คลายลง จากการเสียชีวิตของนายอาราฟัตเมื่อ ปี ๒๐๐๔ หลังจากที่เขาถูกปิดล้อมอยู่ที่เมืองรอมัลเลาะห์ แม้ว่าหลายฝ่ายจะคลางแคลงต่อสาเหตุการเสียชีวิตของเขาว่าน่าจะเป็นการลอบ สังหารมากกว่า อย่างอื่น แต่การเสียชีวิตของเขากลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาสันติภาพครั้งใหม่ เพราะรู้กันดีว่านายอาราฟัตมีนโยบายที่แข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายอิสราเอล ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้การเจรจาหลายต่อหลายครั้งต้องล้มเลิกไปด้วยความดึงดันของนายอาราฟัตเอง
ในขณะที่ผู้นำคนใหม่ของ PLO คือนายมะห์มูด อับบาส (Mahmoud Abbas) กลับมีท่าทีที่อ่อนข้อมากกว่า อิสราเอลพร้อมทั้งพันธมิตรสำคัญอย่างอเมริกา นำโดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช จึงสบโอกาสเหมาะประกาศว่า พร้อมจะเจรจาสันติภาพกับนายอับบาส ตรงนี้เองที่มีคนวิเคราะห์ว่า ฝ่ายอเมริกานั้นเองที่ต้องการกำจัดนายอาราฟัต เพราะหากว่าเขายังอยู่ สันติภาพในดินแดนนี้ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้น (รวมถึงผลประโยชน์มหาศาลที่อเมริกาจ้องจะกอบโกย) นั่นหมายความว่าการเสียชีวิตของนายอาราฟัตอาจจะมีเบื้องหลังที่ไม่ชอบมาพากลก็เป็นได้
ใน ที่สุด เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๐๐๕ อิสราเอลก็ยอมถอนกำลังออกจากฉนวนกาซ่า หลังจากครอบครองอย่างไม่เป็นธรรมมานานถึง ๓๘ ปี เปิดทางให้ปาเลสไตน์จัดการเลือกตั้งขึ้นในปี ๒๐๐๖
การเลือกตั้งของปาเลสไตน์ถูกจับตามองจากทั่วโลก รวมทั้งอิสราเอลและอเมริกา ที่ดูเหมือนว่าจะเอาใจช่วยให้พรรคฟาตาห์ ของนายอับบาสขึ้นครองอำนาจเบ็ดเสร็จให้จงได้ อาจจะเพราะเห็นว่านายอับบาสมีนโยบายทางการเมืองที่ ไม่แข็งกร้าวนักและพร้อมจะเจรจากับอิสราเอล แต่ก็มีผู้วิเคราะห์อีกว่าแท้จริงแล้ว นายอับบาสก็ยังคงเดินตามความเชื่อของนายอาราฟัตที่ว่าการเจรจาจะไม่ก่อให้ เกิดสันติภาพ หากแต่ต้องใช้วิธีการรุนแรงเท่านั้น และเหตุการณ์กระทบกระทั่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งก็มีเขานั่นเองคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
แต่ความมั่นใจของอิสราเอลและอเมริกาก็ดับวูบลง เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคฮามาสกลับได้ครองเสียงข้างมาก ซึ่งผิดจากการคาดเดาของหลายๆ ฝ่าย แต่ถึงกระนั้นพรรคฮามาสก็ยังไม่สามารถจังตั้งรัฐบาลในระบบพรรคเดียวได้ ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมา
พรรคฮามาส (Hamas) เป็นพรรคการเมืองสำคัญพรรคหนึ่งของปาเลสไตน์ มีแนวคิดที่ค่อนข้างรุนแรง มีกองกำลังเป็นของตนเอง เรามักจะคุ้นหูกับชื่อ กลุ่มติดอาวุธฮามาส ซึ่งก็คือกลุ่มการเมืองกลุ่มนี้นี่เอง กลุ่มฮามาสเริ่มมีบทบาท มากขึ้นภายหลังที่ชาวปาเลสไตน์เริ่มเบื่อหน่ายกับกลุ่ม PLO ที่แรกๆ ทำท่าเหมือนจะไปได้สวย อีกทั้งการสูญเสียผู้นำอย่างนายอาราฟัต ทำให้กลุ่มฮามาสก้าวเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณฉนวนกาซ่า และที่สุดแล้ว พวกฮามาสก็ทำการยึดดินแดนเขตฉนวนกาซ่าไว้ในครอบครอง และมีข่าวลือหนาหูว่าพวกเขาเตรียมที่จะจัดตั้งรัฐฮามาสขึ้นเป็นรับอิสระด้วย ซ้ำไป
ขณะที่ฉนวนกาซ่าตกเป็นของกลุ่มฮามาส ทางฝั่งเวสต์แบงค์ก็ตกเป็นของกลุ่มฟาตาห์ของนายอับบาส กลายเป็นว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่ในดินแดนของตนเอง ท้ายที่สุดเมื่อกลุ่มฮามาสสามารถครองเสียงข้างมาก ในสภาได้ก็เหมือนกับว่าปาเลสไตน์ตกเป็นของพวกเขาไปโดยปริยาย แม้ว่านายอับบาสยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ก็ตามที การขึ้นครองอำนาจของกลุ่มฮามาสไม่เป็นที่สบอารมณ์ของอิสราเอลและพี่เบิ้ม อย่างอเมริกานัก และ ลามปามไปถึงประเทศต่างๆ ในยุโรปหลายประเทศที่ไม่ยอมรับกลุ่มหัวรุนแรงนี้ สหรัฐอเมริกานำโดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ถึงกับประกาศตัดเงินช่วยเหลือจำนวนกว่า ๖๐๐ ล้านเหรียญ ที่เคยสัญญาว่าจะมอบให้กับปาเลสไตน์ แต่เมื่อกลุ่มฮามาสขึ้นมาครองอำนาจ บุชก็สั่งระงับการช่วยเหลือทันที
ทางฝั่งนายอับบาสซึ่งยึดดินแดนเขตเวสต์แบงค์ไว้เห็นช่องทางเหมาะ จึงประกาศจัดตั้งรัฐบาลขึ้นแข่งกับกลุ่มฮามาสทันที กลายเป็นว่าปาเลสไตน์มีการแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ซึ่งบรรดาประเทศต่างๆ ล้วนแต่มีทีท่าสนับสนุนรัฐบาล ของนายอับบาสมากกว่ารัฐบาลของกลุ่มฮามาส และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังของกลุ่มฮามาสกับกองกำลังของอิสราเอล บริเวณฉนวนกาซ่า ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ระบุว่าเป็นการป้องกันตัวเนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากโจมตีก่อน
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ การรบพุ่งกันก็เกิดขึ้นจนได้ ฝ่ายอิสราเอลที่ไม่ค่อยพอใจกลุ่มฮามาสเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงฉวยโอกาสใช้ เป็นเหตุผลเข้าโจมตีฉนวนกาซ่าอย่างเต็มรูปแบบ แถมยังประกาศอีกว่าการรบจะยุติลงก็ต่อเมื่อสามารถ ล้มล้างกลุ่มฮามาสให้สิ้นซากไปได้เท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขามีแบ็คอัพชั้นดีคืออเมริกาคอยหนุนหลัง และอาจหมายรวมถึงหลายประเทศในยุโรป ในขณะเดียวกันการจู่โจมครั้งนี้ก็สร้างความไม่พอใจให้กับพี่น้องมุสลิมทั่วโลก เช่นกัน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในฉนวนกาซ่าล้วนแต่เป็นชาวมุสลิมแทบทั้งสิ้น การประท้วงของชาวมุสลิมต่อการกระทำของอิสราเอลขยายตัวไปทั่วโลก แม้แต่ในเขตเวสต์แบงค์เองที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มฮามาสก็ยังออกมาประณามการโจมตีของอิสราเอลเช่นกัน
ข่าวหลายกระแสระบุว่าที่อเมริกาและประเทศในยุโรปต่างเห็นดีเห็นงามที่จะกำจัด กลุ่มฮามาสก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มก่อการร้ายอัล กออิดะห์ และหากพวกเขาสามารถผลักดันให้กลุ่มฟาตาห์กลับมาครอบอำนาจเช่นเดิม ก็จะสามารถต่อรองผลประโยชน์ได้ง่ายกว่านั่นเอง
การโจมตีอย่างเต็มรูปแบบของอิสราเอลทำให้มียอดผู้เสียชีวิตมากกว่า ๕๐๐ ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายพันคน รวมถึงบรรดาเด็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย ประชาชนตาดำๆ ต่างอพยพหนีภัยสงครามข้ามไปยังเขตแดนของอียิปต์ แต่ ก็กลับถูกผลักดันให้กลับเข้ามาเหมือนเดิม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอียิปต์ไม่ต้องการที่จะขัดใจอิสราเอลนั่นเอง การสูญเสียที่ว่านี้ถูกคาดการณ์ว่ารุนแรงกว่าเมื่อครั้งสงคราม ๖ วัน เมื่อปี ๑๙๖๗ เสียอีก และการสูญเสียยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าอิสราเอลจะบรรลุจุดประสงค์ที่ได้ประกาศไว้ แม้ว่าหลายชาติจะไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่มีชาติใดออกมาดำเนินการใดๆ ที่เป็นรูปธรรมเสียที
** อ่านเพิ่มเติมได้ที่ อิสราเอล-ปาเลสไตน์” ตอนที่หนึ่ง **
และ อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ปฐมบทแห่งความขัดแย้ง