ตอนที่ชม สุริโยทัย คนรอบข้างมักจะถามว่าคนนี้คือใคร คนนั้นคือใคร ยิ่งพอมาถึง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ ตัวละครยิ่งมากขึ้นไปอีก จนตัวเองเริ่มจะสับสนบ้างเสียแล้ว เมื่อสบโอกาสเหมาะจึงลองบันทึกไว้กันลืม แม้ว่าจะหาข้อมูลได้ทั่วไปตามแหล่งต่างๆ มากมาย แต่หากได้ลองบันทึกเองแล้วก็น่าจะช่วยให้จำได้แม่นยิ่งขึ้น และเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ใครที่บังเอิญผ่านเข้ามาพบ บางส่วนอาจจะมีการแสดงทัศนะบ้างก็เป็นทัศนะในมุมมองของข้าพเจ้าเท่านั้น หากจะนำไปใช้เผื่อการใดก็ขอให้พิเคราะห์ดูให้ดีเสียก่อน แต่ขอยืนยันว่าข้อมูลที่นำมาบันทึกนำมาจากหนังสือและตำราที่น่าเชื่อถือได้ทั้งสิ้น
เริ่มที่ผังตัวละครจากภาพยนตร์ ขอนำเอาภาพตัวละครจากในหนังของ ‘ท่านมุ้ย’ มาใช้เพื่อจะได้จำได้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากฝั่งไทยกันก่อน…
พระเฑียรราชา (๑) เป็นพระอนุชาใน พระบาทสมเด็จพระไชยราชาธิราช ตามที่เราได้ชมในภาพยนตร์ เมื่อครั้งที่ พระอาทิตยวงศ์ พระอนุชาอันเกิดจากพระอัครมเหสีประสูตินั้นพระองค์ปรารภว่า ‘เราเป็นเพียงลูกสนม ไหนเลยจะอาจเอื้อมนับญาติกับพระผู้จะครองกรุงศรีอโยธยาในเบื้องหน้า’ หรือแม้เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เสด็จสวรรคตพระองค์ก็มิเคยคิดจะแย่งชิงบัลลังก์จาก สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร หรือ สมเด็จพระไชยราชา พระเชษฐาเลย จนเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองคับขัน หลังจากกลุ่มก่อการปราบกบฎ ท้าวศรีสุดาจันทร์ และ ขุนวรวงศา สำเร็จแล้ว จึงได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ที่ ๑๕
ในบางตำราวิเคราะห์ว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงใฝ่ในพระธรรม มิใครสนพระทัยในการสงครามนัก แต่บางตำรากลับวิเคราะห์ว่า แท้จริงแล้วพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบพระองค์หนึ่ง ดังจะเห็นได้เมื่อครั้งที่ พระเจ้าหงสาตะเบงชเวตี้ ยกทัพมาตีอยโยธา พระองค์ได้เสด็จออกทำศึกด้วยพระองค์เอง และสามารถต้านทัพพม่าได้หลายครั้งหลายคราว พระองค์ทรงมีพระสมัญญานามว่า พระเจ้าช้างเผือก ด้วยเพราะมีช้างเผือกประดับพระบารมีถึง ๗ เชือก
หากท่านได้ชมภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ในฉากที่ พระเจ้าบุเรงนอง เสด็จมาเจราหย่าศึกกับ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระองค์อ้างว่าทรงทูลขอช้างเผือกเพื่อนำไปประดับพระบารมียังกรุงหงสา แต่ทางอโยธยามิยินยอม จึงได้กรีฑาทัพมาหมายจะเอาชัยเพื่อรักษาพระเกียรติ ตรงนี้คงจะเห็นเป็นอื่นไปมิได้ นอกจากเป็นข้ออ้างเพื่อทำสงครามชิงเอาอโยธยา สงครามในครั้งนั้นจึงถูกเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า สงครามช้างเผือก จนเมื่อมีการเจรจาหย่าศึก พระเจ้าบุเรงนอง จึงทูลขอช้างเผือกเพิ่มอีก ๒ เชือก รวมเป็น ๔ เชือก ซึ่งช้างเผือกนั้นถือเป็นเครื่องหมายแสดงถึงพระบารมีของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณกาล การจะยกให้ผู้อื่นนั้นถือเป็นการหมิ่นพระเกียรติอย่างสูงและยังเป็นการแสดงถึงการยอมอ่อนน้อมต่ออริราชศัตรูอีกด้วย ดังนั้นจึงมีฉากที่กองทัพพระเจ้าบุเรงนองยกทัพกลับพร้อมด้วยช้างเผือก และมีชาวอโยธยาร่ำไห้อยู่รายทางอย่างน่าสังเวช
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงมีพระอัครมเหสีคือ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย (๒) โดยเมื่อครั้งตั้งทัพรับศึกพม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี ทรงออกศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงไสช้างเข้ารบกับ พระเจ้าแปร เป็นสามารถ แต่เสียทีถูกพระเจ้าแปรใช้พระแสงของ้าวฟันสะพายแล่งสิ้นพระชนม์ในศึกครั้งนั้นเอง
สมเด็๋จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๕ พระองค์ คือ พระราเมศวร (๓) พระสวัสดิราช (๔) พระมหินทร์ (๕) พระบรมดิลก (๖) และ พระเทพกษัตรี (๗)
พระราเมศวร ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ เป็นนักรบที่เก่งกล้าพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งกรณีเหตุการณ์สงครามช้างเผือก พระเจ้าบุเรงนอง ทรงทูลขอพระราเมศวรไปเป็นองค์ประกัน แต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อนระหว่างเดินทางไปยังกรุงหงสาวดี
พระสวัสดิราช (๔) เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ เมื่อครั้งปราบกบฎท้าวศรีสุดาจันทร์ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทรงมีพระราชโองการตั้งให้พระองค์ขึ้นเป็นพระอัครมเหสีใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา (๘) ซึ่งทรงแต่งตั้งให้่เป็นเจ้าครองเมืองพิษณุโลก ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด
พระราชธิดาและพระราชบุตรใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระสวัสดิราช ประกอบไปด้วย พระสุพรรณกัลยา (๙) พระนเรศวร์ (๑๐) และพระเอกาทศรถ (๑๑) ภายหลังเกิดความแตกแยกระหว่างสองแผ่นดินคือยโยธยากับพิษณุโลก ด้วยเหตุที่พระมหาธรรมราชาขัดเคืองพระทัยที่ฝั่งอโยธยาไม่ยอมยกทัพมาช่วยทำศึกกับหงสาวดี จึงแปรพักตร์ไปเข้าด้วยพระเจ้าบุเรงนอง อันนี้ต้องเข้าใจนะครับว่าสมัยก่อนยังไม่มีการแบ่งเป็นประเทศเป็นรัฐเหมือนสมัยนี้ แม้จะเป็นคนไทยด้วยกันแต่ก็คนละเมือง อีกทั้งทั้สองฝั่งต่างปกครองกันคนละราชวงศ์ ฝั่งพิษณุโลกนั้นปกครองโดยราชวงศ์สุโขทัย ข้างอโยธยานั้นปกครองโดยราชวงศ์พระร่วง ดั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรจึงสืบเชื้อสายจากทั้งสองราชวงศ์ คือสุโขทัยจากฝ่ายพระราชบิดา และพระร่วงทางฝ่ายพระราชมารดา
ฝ่ายพม่านั้นขอเริ่มต้นเมื่อครั้งที่ราชวงศ์ตองอูครองอำนาจ ก่อนหน้านั้นชาวพม่าและชาวมอญต่างแย่งชิงความเป็นใหญ่มานาน จนสามารถรวมแผ่นดินได้ในปี พ.ศ. ๒๐๒๙ โดย พระเจ้าเมงคยินโย พระองค์ทรงมีพระราชบุตรผู้เกรียงไกรพระนามว่า เจ้าชายมังตรา หรือต่อมาก็คือ พระเจ้าตะเบงชเวตี้ (๑) เมื่อครั้งยังเป็นพระมหาอุปราชา (วังหน้า) ทรงบุกเข้าไปประกอบพิธีเจาะพระกรรณถึงพระธาตุมุเตาในเขตมอญที่เป็นอริกัน โดยมีทหารตามเสด็จไม่กี่คน จนกิตติศัพท์ลือเลื่องไปทั่วแผ่นดิน
พระเจ้าตะเบงชเวตี้ มีพระสหายซึ่งเป็นบุตรของแม่นมคือ จะเด็ด ต่อมาจะเด็ดลักลอบได้เสียกับพระราชภคินี ตามกฎมณเฑียรบาลนั้นต้องโทษถึงตัดคอด้วยจะเด็ดเป็นเพียงสามัญชน แต่พระองค์แก้ไขสถานการณ์ด้วยการยกให้เป็นเจ้าเสียเลย โดยมอบตำแหน่ง กยอดินนรธา เพื่อป้องกันเสียงครหา
หลังสิ้นศึกกับอโยธยาแล้ว พระราชอำนาจของพระเจ้าตะเบงชเวตี้ก็ขจรขจายไปทั่ว แต่พระองค์ทรงมีพระชนมายุสั้นนัก ถูกลอบปลงประชนม์จากพวกกบฎ เมื่อบัลลังก์ว่างเปล่า บรรดาเสนาอำมาตย์จึงพร้อมใจยกแม่ทัพกยอดินนรธาขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าบุเรงนอง (๒)
พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชบุตรที่เรารู้จักกันดีคือ นันเตี๊ยบางเยง หรือ พระเจ้านันทบุเรง (๓) พระองค์ตั้งพระทัยจะขยายพระราชอำนาจให้ยิ่งใหญ่กว่าพระราชบิดา แต่ใช้วิธีการที่ต่างกันไป คือเน้นการใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ พระองค์มีพระราชบุตรคือ เมงกะยอชวา หรือ มังสามเกียด (๔) ซึ่งดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชา ต่อมาได้ทิวงคตในการทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวร
หลังสงครามครั้งนั้น พระเจ้านันทบุเรง ทรงเสียพระทัยมากจนไม่เป็นอันออกว่าราชการ ทำให้เกิดความแตกแยกและแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก ต่อมาเกิดกบฎโดยพวกยะไข่และตองอู เข้าตีเมืองหงสาวดีและจับพระเจ้านันทบุเรงไว้ได้ พระองคืจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กษัตริย์เชลยตองอู ต่อมาถูกลอบปลงพระชนม์ มีเจ้านายอีกหลายพระองค์พยายามกอบกู้อำนาจของราชวงศ์ตองอูแต่ไม่สำเร็จ จนแผ่นดินพม่าได้รวมเป็นปึกแผ่นอีกครั้งในสมัย พระเจ้าอลองพญา