เรื่องของเรื่องมันก็เกิดจากการที่มีนักศึกษารวมถึงอาจารย์ที่สนิทกันจำนวนหนึ่ง มักจะมาขอความช่วยเหลือในการทำโปสเตอร์ผลงานวิจัยอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการตกแต่งรูป การจัดการกับไฟล์รูป การหา background สวยๆ หรือแม้แต่ช่วยสอนการใช้โปรแกรมที่ใช้สร้างโปสเตอร์ และมันก็กลายเป็นปากต่อปาก รุ่นสู่รุ่น มีคนมาถามไถ่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูกาลนำเสนอโปสเตอร์ผลงาน (งานสัมมนาผลงานวิชาการทั้งภายในคณะฯ และภายนอกคณะฯ) ก็เลยคิดว่า ‘งั้นก็เปิดสอนมันซะเลยสิ’
บรรยากาศการบรรยาย มีผู้ (หลง) เข้ามาฟังเต็มห้อง น่าปลื้มใจจริงๆ เสียดายที่เวลาน้อยไปนิดเลยบรรยายได้ไม่ครบเนื้อหา
โปสเตอร์ผลงานวิจัยนับเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่ใช้ในการนำเสนอผลงานวิจัยของนักศึกษา นักวิจัย หรือนักวิชาการ นอกเหนือจากการนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ เรามักจะได้เห็นการแสดงโปสเตอร์ผลงานวิจัยตามงานสัมมนาทางวิชาการ ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานต่างๆ มีทั้งผลงานวิจัยของนักวิชาการรุ่นใหญ่ และนักศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงระดับปริญญาเอก และมักจะพบเห็นเป็นผลงานในด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าสาขาอื่น
จุดมุ่งหมายในการสร้างโปสเตอร์ผลงานวิจัยนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโปสเตอร์ ประเภทอื่นๆ ซึ่งก็คือการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ ที่เราต้องการนำเสนอ ทำอย่างไรให้ผู้คนหันมาสนใจโปสเตอร์ของเราเพื่อที่จะได้เข้ามาชมหรือเข้าถึง แก่นสาระที่เราค้นพบ ดังนั้น โปสเตอร์ผลงานวิชาการมันก็เหมือนโปสเตอร์เพื่อการพาณิชย์นั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนตัวสินค้ามาเป็นงานวิจัยเท่านั้นเอง
การที่จะทำให้ผู้ชมสนใจโปสเตอร์ของเราก็จึงต้องอาศัยเรื่องของศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้อง จริงอยู่ว่าผลงานวิจัยของเราอาจจะสุดยอด เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ แต่หากว่าไม่มีคนเข้ามารับชมงานของเรามันก็ไร้ค่า โปสเตอร์ที่เราใช้นำเสนอจึงเป็นเหมือนสิ่งดึงดูดให้ผู้ชมหันมาสนใจ ดังนั้นในการจัดแสดงผลงานทาวิชาการต่างๆ ผู้นำเสนอจึงให้ความสำคัญในการสร้างโปสเตอร์ได้สวยเด่นสะดุดตาไม่แพ้เนื้อหาที่อยู่ข้างในเช่นกัน
ตัวอย่างโปสเตอร์ผลงานวิจัยสวยๆ ท่านสามารถโหลดชมได้ตาม link ด้านท้ายบทความ
การสร้างโปสเตอร์ผลงานวิจัยก็เหมือนกับการสร้างงานศิลปะสักชิ้น เพียงแต่ผู้สร้างไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะ อาจจะเป็นนักวิชาการใส่แว่นหนาเตอะ เป็นหนอนหนังสือ เป็นเด็กเนิร์ดหัวฟู แต่เขาเหล่านั้นก็สามารถสร้างผลงานสวยๆ ออกมาให้เห็นแล้วมากมาย เพราะศิลปะไม่มีกฎตายตัวเหมือนคณิตศาสตร์ มันสามารถปรับเปลี่ยนพลิกแพลงไปได้ตามแต่ความรู้สึกของผู้ชม แต่ก็ใช่ว่าจะสักแต่ว่ายัดทุกอย่างลงในโปสเตอร์ก็ไม่ใช่ หากแต่ยังต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย
ก่อนอื่นก็ต้องรู้ก่อนว่าในโปสเตอร์ผลงานวิจัยหนึ่งแผ่นจะต้องมีอะไรในนั้นบ้าง คำตอบง่ายมาก มันก็คือเอาผลงานวิจัยของเรานั่นแหละใส่ลงไป แต่ไม่ต้องใส่ทั้งหมด ใส่เพียงแต่เนื้อหาหลักๆ เพราะเป้าหมายของเราคือเพื่อให้ผู้ชมรู้ว่าเราวิจัยเรื่องอะไร ค้นพบอะไร น่าสนใจแค่ไหน เมื่อเขาสะดุดตากับโปสเตอร์และงานวิจัยของเรา เขาก็จะติดตามมาฟังการบรรยายของเราเอง (ในการจัดสัมมนาทางวิชาการ นอกจากจะแสดงโปสเตอร์แล้ว ยังมีการบรรยายนำเสนอผลงานวิจัยให้แก่ผู้สนใจเข้าฟังด้วย)
แต่ละงานก็จะมีการกำหนดกรอบเนื้อหาไว้เหมือนๆ กันทั้งสิ้น นั่นคือในโปสเตอร์จะต้องมี ชื่องานวิจัย (Head), ชื่อผู้ทำการวิจัยพร้อมหน่วยงานหรือสถาบันที่สังกัด (Researcher), บทคัดย่อ (Abstract), หลักการและวัตถุประสงค์ (objective), ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology), ผลการวิจัย (Result), บทสรุป (Conclusion) และเอกสารอ้างอิง (References) ซึ่งบางส่วนที่เห็นว่าไม่จำเป็นก็สามารถตัดทิ้งไปได้ แล้วแต่ความเหมาะสม
หากโปสเตอร์ของเราเป็นที่สะดุดตา ผู้ชมก็จะแวะเข้ามาเยี่ยมชมผลงานของเราเอง (ในภาพเป็นบรรยากาศ นิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
เมื่อเราจัดเตรียมข้อมูลเนื้อหาได้เรียบร้อยแล้ว … อันที่จริงมันก็ต้องเรียบร้อยอยู่แล้วล่ะ เพราะถ้างานวิจัยของเราไม่ผ่าน แล้วเราจะทำโปสเตอร์ได้ยังไงล่ะ และต้องไม่ลืมว่าโปสเตอร์ของเรามีขนาดโดยประมาณที่ A0 (ราว ๘๔ x ๑๑๘ ซม.) เราจึงต้องเค้นเอาเฉพาะเนื้อหาสำคัญๆ เท่านั้น และเมื่อได้มาแล้ว คำถามต่อมาก็คือ เราจะใช้โปรแกรมอะไรทำโปสเตอร์กันล่ะ
จากที่สังเกตดูพฤติกรรมและจากการถามไถ่พบว่า ร้อยละ ๙๙ สร้างโปสเตอร์ด้วยโปรแกรม Microsoft Powerpoint เนื่องจากใช้โปรแกรมนี้ในการสร้าง Presentation เพื่อประกอบการบรรยาย ฉะนั้นก็เลยใช้มันทำโปสเตอร์ซะด้วยเลย ซึ่งมันก็ใช้ได้ดีทีเดียว โปสเตอร์หลายชิ้นทำออกมาได้สวยงามน่ามอง แต่นอกเหนือจาก Powerpoint ยังมีโปรแกรมอีกหลายตัวที่นำมาใช้ได้ ทั้ง Adobe Photoshop, PageMaker, Illustrator หรือที่กำลังฮิตอย่าง InDesign หรือแม้กระทั่ง MS Word ก็ทำได้นะ แต่ที่ขอนำเสนอก็คือ AdobePhotoshop ก็เนื่องมาจากการที่เราจำเป็นต้องใช้ Photoshop ในการตกแต่งรูปอยู่แล้ว ก็เลยใช้มันสร้างโปสเตอร์เสียด้วยเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาตกแต่งรูปใน Photoshop แล้วค่อยย้ายไฟล์ไปใส่ใน Powerpoint เป็นต้น อีกทั้งการทำงานบน Photoshop จะสามารถแต่งเติมลูกเล่นต่างๆ ได้มากกว่าโปรแกรมอื่นๆ นั่นเอง
ส่วนในเรื่องของวิธีการใช้งานนั้นหากท่านสนใจก็ขอให้ไปศึกษากันเอาเองละกัน เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเคยสัมผัสและใช้งานโปรแกรมนี้กันมาบ้างแล้ว สำหรับท่านที่ไม่เคยรู้จักกับมัน ท่านก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เดี๋ยวนี้มีคู่มือการใช้งานพิมพ์ออกมามากมายหลายเล่ม มีทั้งสำหรับมือใหม่ซึ่งก็อ่านเข้าใจง่ายทีเดียว หรือจะเอาแบบเฉพาะทริกในการสร้างงาน อย่างเช่น การตัดต่อภาพ การเปลี่ยนสีรูป การประดิษฐ์ตัวอักษรเก๋ๆ ก็มีให้เลือกซื้อเลือกฝึกมือกันล้นตลาด
ทีนี้พอเราใช้งานโปรแกรมเป็นแล้ว เราก็ต้องนำมาจัดการกับเนื้อหาที่เราเตรียมไว้ ไอ้การที่จะจัดการเนื้อหาของเราให้กลายเป็นโปสเตอร์ที่สวยงามนั้นคงจะสอนกัน ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับไอเดียและจินตนาการของแต่ละท่านว่าจะรังสรรค์โปสเตอร์ออกมา ให้สวยงามและโดดเด่นเพียงใด อันนี้ก็ขึ้นกับสไตล์และรสนิยมของแต่ละบุคคล สำหรับท่านที่คิดไม่ออก ไอเดียตีบตัน ก็ลองศึกษาผลงานของท่านอื่นๆ เป็นตัวอย่างก็ไม่ผิด
ในงานสัมมนาทางวิชาการจะเปิดโอกาสให้ผู้วิจัยได้บรรยายผลงานวิจัยของตนให้กับผู้สนใจเข้ารับฟัง (ในภาพเป็นบรรยากาศ นิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
หลักสำคัญในการสร้างโปสเตอร์ก็คือการหลักของการจัดองค์ประกอบศิลป์ (Art Composition) แต่เราไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรให้มันมาก เอาเป็นว่านำมาจัดเรียงให้ดูสวยงามในสายตาของท่านก็เพียงพอ เพราะอย่างที่บอกไว้ในช่วงแรกแล้วว่า ศิลปะไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ถ้าอยากจะมีหลักเกณฑ์เอาไว้เป็นไม้บรรทัดสักหน่อยก็ไม่ผิด ซึ่งข้าพเจ้าจะขอยกข้อคิดง่ายๆ เอาไว้เตือนใจสัก ๕ ข้อ กฎเกณฑ์เหล่านี้ข้าพเจ้าเลือกขึ้นมาเองตามที่เห็นเหมาะสม
สัดส่วน (Property) ก็คือความเหมาะสมของส่วนประกอบต่างๆ ในโปสเตอร์ ไม่มีส่วนใดเล็กไปหรือใหญ่ไป จนแตกต่างจากส่วนประกอบอื่นๆ แต่ที่อยากให้ระวังที่สุดก็คือขนาดของส่วนประกอบทั้งหมดเมื่อเทียบกับขนาด ของโปสเตอร์ เพราะหลายท่านสร้างผลงานออกมากระจิ๋วหลิวเบียดเสียดกันอยู่ทั้งที่โปสเตอร์ ก็ออกจะแผ่นเบ้อเริ่ม หรือบางท่านก็ทำชิ้นงานซะใหญ่โตแล้วก็มาบ่นว่าเนื้อที่ไม่พอ
สมดุล (Balance) คือ ความเท่ากันขององค์ประกอบ ไม่หนักในข้างใดข้างหนึ่งจนเกินไป ในบางครั้งเราอาจแบ่งเนื้อหาออกเป็นคอลัมน์ (สองหรือสามแถวก็แล้วแต่) หรืออาจจะแบ่งในแนวบน-ล่าง แต่ไม่ว่าจะแบ่งอย่างไรขอให้ทุกส่วนมีน้ำหนักที่ไปด้วยกัน ความสมดุลที่ว่านี้อาจจะเป็นแบบที่เท่ากันอย่างชัดเจน คือเท่ากันในทุกๆ ด้าน เช่นรูปขนาดเท่ากันเป๊ะๆ หรืออาจจะให้เท่ากันในความรู้สึก เช่น ด้านหนึ่งมีรูปขนาดใหญ่ ๑ รูป อีกด้านหนึ่งเป็นรูปขนาดเล็ก ๒-๓ รูป เป็นต้น
การเน้น (Emphasis) การจัดวางองค์ประกอบแบบซ้ำๆ กัน เหมือนๆ กัน ไม่ได้ช่วยสร้างความน่าสนใจให้เนื้องานเลย ในงานแต่ละชิ้นควรจะมีประธานของภาพอยู่ ๑ จุด เพื่อดึงความสนใจของผู้ชม สังเกตอย่างโปสเตอร์สินค้าก็จะมีจุดเด่นเพื่อดึงสายตาผู้ชม ในโปสเตอร์ของเราก็น่าจะหาจุดเด่นเอาไว้ดึงดูดด้วยเช่นกัน
เอกภาพ (Unity) คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบทั้งหมด พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ เมื่อเรามองโปสเตอร์ของเราแล้วเกิดความรู้สึกร่วม ไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างหรือกระโดดออกมา ทั้งในแง่ของสิ่งที่มองเห็นหรือความรู้สึก อย่างเช่นถ้างานวิจัยของเราเป็นเรื่องของพันธุ์พืช รูปประกอบหรือพื้นหลังก็อาจจะเป็นบรรยากาศของพันธุ์พืชเพื่อให้เกิดความรู้สึกกลมกลืนกับเนื้อหา หรือถ้าเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเนื้อหาที่ค่อนข้างจริงจัง แต่กลับเอารูปการ์ตูนมาประดับมันก็ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
สี (Color) เป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมได้อย่างดี การเลือกใช้สีสามารถดึงดูดผู้ชมก็ได้ หรืออาจจะสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับผู้ชมก็ได้เช่นกัน อีกทั้งเราต้องเลือกใช้สีให้เหมาะสมกับเนื้อหาของงานวิจัยของเราด้วย
บรรยากาศ นิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภาพแรกจะเห็นผู้วิจัยแต่งกายเข้ากับเนื้อหางานวิจัยเพื่อดึงดูดผู้ชม ส่วนภาพที่สองสังเกตที่หน้าโปสเตอร์ มีขวดซอสไว้ให้ทดลองชิม (ทำวิจัยเรื่องซอส) ช่วยเรียกความสนใจจากผู้ชมได้เช่นกัน
ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอฝากข้อคิดบางประการไว้สะกิดใจของท่านทั้งหลายที่กำลังจะสร้างสรรค์โปสเตอร์ผลงานวิจัยของท่าน
๑. ขนาดของโปสเตอร์ต้องให้ได้ขนาดตามที่หน่วยงานหรือสถาบันกำหนด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขนาด ๘๐ x ๙๐ ซม., ๘๐ x ๑๑๐ ซม. อันนี้แล้วแต่ระเบียบของแต่ละสำนัก ท่านไม่ควรทำให้เล็กหรือใหญ่เกินไปกว่าที่กำหนดเด็ดขาด
๒. ขนาดของชื่อเรื่อง จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ต่ำกว่า ๑ นิ้ว และอย่าลืมชื่อหน่วยงานหรือสถาบันต้นสังกัดของท่านโดยเด็ดขาด บางแห่งจะกำหนดเป็น Banner ไว้ให้ Download ต้องศึกษาให้ดี
๓. Font ที่เลือกใช้ต้องเป็นรูปแบบที่อ่านง่าย สบายตา มีขนาดใหญ่พอสมควร และไม่ควรใช้ Font หลายๆ รูปแบบในโปสเตอร์ 1 แผ่น
๔. เรื่องของพื้นหลัง ถ้าพื้นหลังสีอ่อนต้องใช้ตัวอักษรสีเข้ม พื้นหลังสีเข้าต้องใช้ตัวอักษรสีอ่อน และพื้นหลังควรเป็นภาพที่เข้ากันกับเนื้อหา (ในกรณีที่เลือกรูปภาพมาเป็นพื้นหลัง) หากใช้พื้นหลังเป็นสีพื้นก็ควรเลือกสีที่ไม่ฉูดฉาดจนเกินไปนัก
๕. ไม่จำเป็นต้องใส่ทุกอย่างที่มีลงในโปสเตอร์ เค้นเอาเฉพาะครีมข้นๆ น้ำไม่ต้องใส่ลงไป
๖. ภาพประกอบ กราฟ หรือแผนภูมิ ต้องมีขนาดใหญ่ชัดเจน ถ้ามีหลายรูปก็ควรใส่หมายเลขกำกับ
๗. งดใช้สีที่เป็นประกายระยิบระยับ จำพวกสีทอง สีเงิน หรือการประดับด้วยวัสดุที่เป็นประกายสะท้อนแสง เพราะนอกจากจะดูเป็นลิเกแล้วยังลดทอนความน่าสนใจของเนื้องานอีกด้วย
ขอย้ำว่าการสร้างสรรค์โปสเตอร์ผลงานวิจัย เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการนำเสนอผลงานเท่านั้น ซึ่งทั้งสองส่วน คือเนื้อหาของงานวิจัย และวิธีการนำเสนอ จำต้องสมดุลควบคู่กันไป หากงานวิจัยทำได้ดีแต่นำเสนอไม่น่าสนใจ งานนั้นก็อาจจะไม่เป็นที่ดึงดูดผู้ชม ในขณะเดียวกันหากโปสเตอร์หรือวิธีการนำเสนอสะดุดตา แต่เนื้อหาผลงานไม่ได้เรื่อง มันก็เหมือนคนสวยสมองกลวงที่มีแต่ความสวยเอาไว้ชมอย่างเดียว หาประโยชน์อันใดมิได้ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นแนวทางเล็กๆ ให้กับท่านทั้งหลายที่กำลังสร้างโปสเตอร์ผลงานวิจัยของท่านอยู่
ท่านสามารถเข้าไปชมตัวอย่างโปสเตอร์ผลงานวิจัยได้จากหลายแหล่ง เพื่อนำมาเป็นตัวอย่างหรือแนวคิดในการสร้างผลงานของท่านเอง (ลองหาจาก google มีเยอะแยะ) หรือลองเข้าไปที่เว็บไซต์ของ โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (BRT)จะมีโปสเตอร์สวยๆ จากการประชุมประจำปีไว้ให้โหลดมาชม (ส่วนใหญ่จะเป็นด้าน Biology และ Biotechnology นะครับ)
ส่วนการจัดอบรมนี้จะจัดขึ้นเรื่อยๆ ครับ จนกว่าจะเบื่อกันไปข้างนึง ติดตามข้อมูลได้ที่ http://stang.sc.mahidol.ac.th