มีโอกาสได้หยิบข่าวเก่าๆ มานั่งดู ก็พบว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาประเทศนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย มีเหตุการณ์ที่ชวนให้ระลึกถึง และหลายเหตุการณ์ก็ส่งผลกระทบต่อเราทั้งทางตรงและโดยอ้อม และบางครั้งก็มีส่วนกระตุ้นให้เราอยากเข้าไปมีส่วนร่วมกะเขาบ้างเหมือนกัน ในยุคที่ไฟยังโชติช่วง
สมัยที่อยู่สวนฯ ก็เริ่มสนใจการบ้านการเมืองกะเขาเหมือนกัน มีเพื่อนหลายคนที่มีหัวนิยมการเมืองอยู่ อีกทั้งมีอาจารย์บางท่านที่ให้ความสนใจและบางครั้งก็มาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เราฟัง หรือบางครั้งก็ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกัน แต่เด็กนักเรียนที่สนใจตอนนั้นก็มีอยู่ไม่เท่าไหร่ ก็ชีวิตมันมีอะไรที่สนุกกว่ามากมาย อย่างจีบหญิง เตะบอล ดูดบุหรี่ ตีสนุ้ก
สมัยนั้นผมนี่จำชื่อคณะรัฐมนตรีได้เกือบหมด นักการเมืองดังๆ นี่ก็รู้จักหมด สนใจหาเรื่องการบ้านการเมืองมาอ่าน ยิ่งเหตุการณ์เดือนตุลายิ่งชอบ หาหนังสือที่เกี่ยวข้องทุกเล่มมาอ่าน ไม่ก็ไถ่ถามจากอาจารย์ที่พอจะคุยกันได้ พอๆ กับเพื่อนอีกสองสามคนที่พอจะคุยภาษาเดียวกัน พอถึงคราวที่เขาปฏิวัติกันเย้วๆ โดยคณะ รสช. ก็เริ่มตื่นเต้นและติดตามอย่างใกล้ชิดตามประสาเด็กอยากรู้
คุณหญิงแม่เคยเล่าว่าตอนปี ๒๕๑๖ ที่เขาชุมนุมกันใหญ่โตนั้น เราเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่พรานนกได้ไม่นาน แกว่ามีทหารมาเดินไปเดินมาตลอดถนน แล้วตกดึกก็ไฟดับเสียด้วย ไม่รู้ว่าไฟดับหรือเขาดับไฟกันแน่ แต่ตอนนั้นไม่สนุกเอาเสียเลยจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีข่าวสารมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ ยิ่งทำให้น่ากลัวเข้าไปใหญ่ เพราะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
จนเกิดเหตุการณ์พฤษภา ผมก็ยิ่งสนใจใคร่รู้ยิ่งขึ้น แต่ก็บอกตามตรงว่ายังไม่ได้เข้าใจอะไรนัก สมัยนั้นจะอะไรมากล่ะครับ ก็เป็นแค่เด็กมัธยมที่สนใจการเมืองเท่านั้น คือแค่สนใจ แต่จะให้ไปเย้วๆ กันเขานี่ไม่เอาเสียล่ะ เพื่อนผมคนหนึ่งจับพลัดจับผลูโดนจับเข้าห้องขังไปคืนหนึ่ง ด้วยความที่มันเป็นนักกีฬา ร่างกายสูงใหญ่ ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ตำรวจเขาคงนึกว่าเป็นพวกที่มาฮึ่มๆ ด้วย ก็เลยจับเข้าห้องขังไป มันมาเล่าทีหลังว่าน่ากลัวชิบหาย พยายามอธิบายว่าไม่ได้มาร่วมชุมนุมกะเขาพวกทหารเขาก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันว่าก็มันเป็นทางผ่านกลับวัด (มันเป็นเด็กวัด) แล้วแม่งปิดถนนกัน จะให้กูไปทางไหนล่ะ มันก็ยังมาเล่าสู่กันฟังว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยลืมแต่อยากจะลืม ปัจจุบันมันคงลืมไปแล้วล่ะมั้งครับ เพราะมันเสียชีวิตไปได้หลายปีดีดักแล้ว
ผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องเหมือนกันว่าเขามีชุมนุมกันตั้งแต่เมื่อคืน ที่บ้านก็ไม่มีใครรู้เพราะเข้านอนกันแต่หัวค่ำ หลวงท่านมาประกาศเอาตอนดึกว่าปิดโรงเรียนฉุกเฉิน ผมก็ไม่รู้ ออกจากบ้านไปโรงเรียนตามปกติ พอไปถึงก็รู้ว่าเขาประกาศปิดเรียน ตอนขาไปน่ะนั่งเรือด่วนไป แต่ขากลับไม่รู้นึกอะไรดันเลือกกลับรถเมล์ จำได้ว่าจับรถเมล์มาลงสนามหลวงกะว่าจะขึ้นสาย ๙๑ กลับบ้าน รถเขาก็มาทิ้งเอาตรงแถวๆ วัดโพธิ์เพราะไปต่อไม่ได้ ก็ยังไม่รู้เรื่อง อาศัยเดินไปก็ได้วะ
ทีนี้เริ่มจับสังเกตได้ละว่ามันไม่ปกติ มีคนที่ไม่รู้เหมือนผมหลายคนอยู่ แต่งชุดนักเรียนเดินกันไป พวกเด็กๆ ก็เริ่มกลัวกันละว่าเกิดอะไรขึ้น ผมน่ะไม่ได้กลัวเลย มองโน่นมองนี่ด้วยความอยากรู้ มีเสียงไล่อยู่เป็นระยะว่านักเรียนมาเดินอะไรแถวนี้ ให้รีบกลับบ้านไปเสีย อพิโธ่ ก็กำลังจะกลับนี่ล่ะขอรับ แต่จะไปอย่างไรได้เล่า ก็ถนนมันปิดเสียแบบนี้
จำได้ว่ามีทหาร มีประชาชนรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ บรรยากาศเริ่มอึกทึก มองไปทางถนนราชดำเนินเห็นคนมากมาย ผมน่ะชักสนุกและอยากรู้ เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นก็ยังมีเพื่อนนักเรียนหลายคนทั้งเด็กสวนฯ ด้วยกันและต่างโรงเรียน แล้วก็มีประชาชนอีกบางส่วนเดินตามกันไปขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้า ข้ามมาฝั่งโรงเรียนวัดดุสิต ระหว่างนั้นก็ยังมีเสียงตะโกนไล่ให้นักเรียนกลับบ้านเป็นระยะ
ข้ามสะพานไปเพลินๆ ก็เห็นคนที่ตามมาด้านหลังเริ่มวิ่ง ทีนี้พอข้างหน้าเขาเห็นข้างหลังวิ่ง อารามตกใจก็เลยวิ่งกันบ้าง มีเสียงปึงปังไล่มาจากฝั่งขะโน้น ไม่รู้ว่าเสียงอะไร แต่ทางโน้นเขาวิ่งแล้ว ผมก็เลยวิ่งตามไปกันบ้าง
ก็ยังไม่รู้จนเดี๋ยวนี้ว่าเสียงอะไร แล้วเขาวิ่งหนีอะไรกันมา แต่เขาวิ่งกันทั้งนั้นจะให้เดินเอ้อละเหยก็กระไรอยู่ กลับมาถึงบ้านก็ถึงได้รู้ว่าเขาประท้วงกันเสียใหญ่โต แล้วก็ยืดเยื้อเสียด้วย ตอนนั้นก็นึกว่าสบายดีอย่างน้อยก็ได้ปิดเรียนต่ออีกหลายวัน