เขาว่ากันว่า อัจฉริยะกับความบ้า ห่างกันเพียงกระดาษแผ่นเดียว แต่สำหรับ เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ กระดาษแผ่นนั้นคงต้องบางมากๆ เลยทีเดียว
เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ (David Helfgott ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ดันไปพ้องเสียงกับ Help God) เป็นนักเปียโนขั้นเทพชาวออสซี่ แววอัจฉริยะของเขาเริ่มต้นตั้งแต่ยังเด็ก จนล่วงเข้าสู่วัยรุ่นเขาก็กวาดรางวัลระดับประเทศได้ถึง ๖ สมัย (ABC Instrumental and Vocal Competition) แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เขาป่วยเป็นโรคทางจิตที่เรียกว่า Schizoaffective disorder เดวิดต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า ๑๒ ปี แต่ดูเหมือนพระเจ้ายังไม่ใจดำกับเขามากนัก ปี ๑๙๘๔ เดวิดก็กลับมาเล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง และกลายเป็นนักเปียโนฝีมือดีระดับต้นๆ ของโลกใบนี้
ปี ๑๙๙๗ ฮอลลิวู้ดหยิบเอาชีวประวัติของเขามาสร้างเป็นภาพยนตร์ เรื่อง Shine ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นกว่าเดิม จากที่จะรู้จักกันเฉพาะในวงการดนตรีคลาสสิก แต่พอหนังออกฉายและคว้ารางวัลมาเพียบ ชื่อ เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ ก็เป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก … นี่แหละหนา อิทธิพลของฮอลลิวู้ด
ผมไม่มั่นใจว่าชีวิตจริงของเขาจะเป็นจริงเหมือนในหนังหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็น่าเห็นใจไม่น้อย เขาถูกเคี่ยวเข็ญฝึกปรือฝีมือด้านเปียโนจาก ปีเตอร์ เฮลฟ์ก็อตต์ ผู้เป็นบิดา ในหนังไม่ได้บอกพื้นเพของครอบครัวมากนัก แต่พอจะเข้าใจได้ว่าครอบครัวเฮลฟ์ก็อตต์ค่อนข้างจะยากจน ปีเตอร์มีความสนใจเรื่องดนตรีและคงจะมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย เขามักจะเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ลูกฟังเสมอว่าเขาอุตส่าห์สะสมเงินซื้อ ไวโอลินแต่ก็ถูกปู่ทำพังซะ ดังนั้นเขาจึงพยายามถ่ายเทความรักในดนตรีให้กับลูกๆ และบอกลูกเสมอว่า “แกเป็นเด็กที่โชคดี ปู่แกไม่เคยสนับสนุนพ่อ แกเป็นเด็กที่โชคดี รู้มั้ย”
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Shine
คงคล้ายๆ กับพ่อแม่หลายคนที่เชื่อว่าได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกแล้ว ส่งลูกไปเรียนพิเศษ เรียนเปียโน เรียนศิลปะ เรียนเต้นรำ เรียนอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ไม่ยักกะถามลูกมั่งเลยว่า ลูกต้องการอะไร?
ปีเตอร์เชื่อมั่นว่าเขาได้มอบสิ่งที่วิเศษสุดให้แก่เดวิดแล้ว ทั้งที่ไม่มีใครเคยสอนเขาแต่เขาก็สามารถสอนให้เดวิดเล่นเปียโนได้อย่างยอดเยี่ยม โชคดีที่เดวิดเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว แต่โชคร้ายที่เขาต้องแบกความกดดันที่หนักอึ้งใน การเป็นตัวแทนของพ่อในวัยเด็กที่ต้องการประสบความสำเร็จด้านดนตรี ตกลงแล้วปีเตอร์ทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวเองกันแน่?
เมื่อเป็นเด็กเขาไม่มีโอกาส เดวิดจึงกลายเป็นตัวแทนของเขา เขาต้องการเป็นผู้ชนะแต่ก็ลืมไปว่าเดวิดยังเด็กอยู่ ในการประกวดตอนต้นเรื่องเขาก็บงการทุกอย่างให้เดวิดเล่นเพลงที่ยากแสนยากขึ้นประกวด แน่นอนว่าเด็กชายเดวิดไม่ได้เป็นผู้ชนะ แต่แววอัจฉริยะของเขาก็ถูกมองเห็นโดยกรรมการคนหนึ่ง
เดวิดยังคงฉายแววความเป็นนักเปียโนขั้นเทพอยู่จนเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้รับโอกาสให้เข้าเรียนต่อ แต่พ่อของเขาสั่งห้ามด้วยเหตุผลที่ว่า “ถ้าแกไป แล้วครอบครัวเราล่ะ เราจะไม่เป็นครอบครัวอีกต่อไป” แม้เดวิดอยากจะบินไปให้ไกล ไกลจากเงื้อมเงาของบิดา แต่เขาก็ยังขลาดและกลัวเกินกว่าจะบินหนีไป ท้ายที่สุดความอดทนก็ทะลุขีดจำกัด เดวิดตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อ เขาหันหลังให้ครอบครัวไปเรียนต่อในวิทยาลัยศิลปะและการดนตรีที่มีชื่อ ที่นี่เขาได้พบกับอาจารย์ที่ดี ช่วยขัดเกลาฝีมือให้รุดหน้าขึ้นไปอีกขั้น แม้เดวิดจะมีท่าทีเพี้ยนๆ ดูทึ่มๆ แต่เรื่องดนตรีแล้วเขาโดดเด่นที่สุด
เจฟฟรี่ย์ รัช กับรางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยม
เขามีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันในระดับชาติซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เดวิดเลือกที่จะเล่น Rac III ของ Sergei Rachmaninoff เพลงที่นักเปียโนมืออาชีพก็ยังขยาด เข้าใจว่าเดวิดยังคงหนีไม่พ้นการครอบงำของพ่อที่เคยสอนเขาแต่เด็กว่าวัน หนึ่งเขาจะต้องเล่น Rac III ให้ได้ เดวิดฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่วงนี้เองเขาต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนัก ทั้งจากความคาดหวังของอาจารย์ จากตัวเอง และที่สำคัญที่สุดจากพ่อที่เขาพยายามหนีมาตลอด เบื้องลึกในจิตใจของเดวิดต้องการจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขาทำได้ ถ้าเขาต้องการจะทำโดยไม่ต้องมีพ่อมาบงการชีวิต
เดวิดถลำลึกเข้าไปในโลกของจินตนาการ เขาถูกดนตรีครอบงำจิตใจไปเสียแล้ว ในวันแข่งขันจริง เดวิดบรรลง Rac III อย่างยอดเยี่ยม แต่อนิจจา จิตใจของเขาล่องลอยเข้าไปในเสียงดนตรี ทันทีที่โน้ตตัวสุดท้ายบรรเลงจบ สติของเขาก็ขาดผึง! จากนักดนตรีหนุ่มอัจฉริยะ เขากลายเป็นผู้ป่วยจิตเภท ถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลโรคจิต ชื่อของเดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ หายไปจากโลกดนตรี เขาถูกแพทย์สั่งห้ามไม่ให้เล่นเปียโนอีก มิเช่นนั้นเขาอาจจะบ้าจนกู่ไม่กลับ
อาการป่วยของเดวิดเรียกว่า Schizoaffective disorder คือมีอาการของโรคจิตเภทร่วมไปกับอาการของโรคอารมณ์แปรปรวน อาการทางจิตเภทก็อย่างเช่นมีอาการหลงผิด เช่นคิดว่าตัวเองบินได้ มีอาการหลอน ได้ยินเสียงคนมาคุยด้วย มีโลกส่วนตัว พูดคนเดียว ส่วนอาการอารมณ์แปรปรวนก็อย่างเช่นมีอาการซึมเศร้า เงียบ เก็บตัว หรือไม่ก็ร่าเริงอย่างผิดปรกติ บางรายก็มีอาการร่างเริงและซึมเศร้าสลับกันไป แต่สำหรับเดวิด จากที่ภาพยนตร์นำเสนอ เขาจะมีอาการที่ร่าเริงผิดปรกติ พูดไปหัวเราะไปอยู่ตลอด และมักจะพูดซ้ำไปซ้ำมา พูดรัว เร็ว จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่ผู้ป่วยประเภทนี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เพียงแต่ต้องทานยาและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ กับคนดังอย่าง เซอร์ เอลตัน จอห์น
เดวิดใช้ชีวิตอย่างเดียวดายในโรงพยาบาลอยู่ถึงสิบกว่าปี จนอาการดีขึ้นตามลำดับ มีเพียงน้องสาวและพี่สาวที่มาเยี่ยมเป็นประจำ ส่วนพ่อนั้นไม่เคยมาเขาเลยสักครั้ง โชคดีที่มีอาสาสมัครในโรงพยาบาลคนหนึ่งจำได้ว่าเขาคือ เดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ นักเปียโนอัจฉริยะ จึงอาสารับเขามาอยู่ด้วยที่บ้าน
เดวิดมักจะแวะเวียนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่มีเปียโนตั้งอยู่แต่ไม่มีคนเล่น เด็กเสิร์ฟที่นั่นคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี ในขณะที่เจ้าของร้านมีทีท่าไม่ค่อยไว้ใจคนสติเสื่อมอย่างเขา วันหนึ่งขณะที่คนเต็มร้าน เดวิดที่กำลังลงแดงเพราะอยากเล่นเปียโนเดินดุ่ยๆ เข้าไปนั่งที่เปียโนในร้าน ท่ามกลางเสียงเย้ยหยันจากคนในร้าน สักพักทั้งร้านก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงเพลงที่บรรเลงจากปลายนิ้วของเดวิดดังก้องไปทั้งร้าน จากวันนั้นเป็นต้นมา เดวิดก็กลายเป็นนักดนตรีประจำที่ร้าน มีแขกเข้ามาเต็มร้านทุกวันเพื่อฟังเพลงของเขา จนหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่านักดนตรีอัจฉริยะกลับมาแล้ว
แม้จะมีอาการสติแตกแต่เดวิดก็ยังโชคดีที่ได้คู่ชีวิตที่เข้าใจอย่าง กิลเลียน เธอคือผู้อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาและเธอคือผู้ที่พยายามผลักดันจนทำให้เขา กลับมาแสดงคอนเสิร์ตได้อีกครั้ง และในปัจจุบันเดวิดและกิลเลียนก็ยังใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยเดวิดกลายเป็นนักเปียโนฝีมือเอกระดับโลกที่มีคิวคอนเสิร์ตไม่ขาดสาย ด้วยความที่เป็นคนร่างเริง เป็นมิตรกับผู้ชม อย่างเช่นเมื่อจบการบรรเลงเขาก็จะกระโดดลงไปกอดจูบกันคนดูหน้าตาเฉย ทุกวันนี้เขาก็ยังคงเปิดการแสดงและออกอัลบั้มบรรเลงเปียโนออกมาอย่างสม่ำเสมอ
กิลเลียนกับเดวิด ตัวจริง
เดวิดตัวจริงกับตัวแสดงอย่างรัช ที่ถอดแบบออกมาเหมือนกันเป๊ะ
ภาพยนตร์เรื่อง Shine ออกฉายในปี ๑๙๙๖ ได้ดาราฝีมือดีอย่าง เจฟฟรี่ย์ รัช มารับบทเป็นเดวิด เฮลฟ์ก็อตต์ ซึ่งรัชก็เป็นคนออสซี่เช่นเดียวกับเดวิด แล้วรัชก็ยังมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเดวิด ชนิดที่เรียกว่าถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน รัชถอดบุคลิกลุกลี้ลุกรนและพูดรัวของเดวิดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การแสดงที่สุดยอดของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลดารานำชายในเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำ
หมายเหตุ
ขอขอบคุณ (ว่าที่) หมอกิ๊ฟ นรินธร ศักดิ์ศรียุทธนา น้องสาวจอมยุ่งที่อุตส่าห์ให้ข้อมูลเรื่อง Schizoaffective disorder