นั่งฟังข่าวเรื่องจำนำข้าว บอกตามตรงว่าไม่ได้รู้เรื่องเบื้องลึกอะไรมากมาย ใครได้ใครเสียก็ไม่อาจเข้าใจได้ แต่จู่ๆ นึกฮัมเพลงเก่าๆ ขึ้นมาเฉยเลย เป็นเพลงเก่าของ “คาราวาน” ชื่อเพลง ข้าวลาลาน เพลงนี้น่าจะอยู่ในชุด คนตีเหล็ก เผยแพร่ในปี ๒๕๒๗ ก็เป็นช่วงที่คาราวานออกจากป่ากันมาแล้ว แต่ถ้าจำไม่ผิดเคยอ่านที่ไหนซะที่จำได้รางๆ ว่าเพลงนี้เขียนไว้ก่อนหน้าหลายปี
สมัยก่อนนั้นผมเป็นแฟนคาราวานเข้ากระดูก ทุกวันนี้ก็ยังร้องเพลงเก่าๆ ของพวกเขาได้ ชอบเอามากๆ สมัยยังหนุ่มรุ่นกระทง ตอนอยู่ ม.ปลาย ช่วงนั้นกำลังเพ้อศึกษาเรื่องแนวๆ นั้นอยู่พอดี นอกเหนือจากแนวคิดของพวกเขาที่ถูกใส่ลงมาในบทเพลงแล้ว ที่ชวนให้หลงใหลมากกว่าคือบทเพลงที่สวยงามราวบทกวี
รู้สึกไหมว่าบทกวีมันสวยงามอยู่ในตัวโดยที่ไม่ต้องเพิ่มทำนองลงไปจนกลายเป็นบทเพลง แต่บทกวีดีๆ หลายชิ้นก็ถูกแปลงกลายเป็นบทเพลง ขณะที่บางบทเพลงกลับไม่ใช่บทกวี
คงต้องยกนิ้วให้ “พระเจ้าหัวฟู” คุณสุรชัย จันทิมาธร ที่ผมยกให้เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ ผมชอบการสรรหาถ้อยคำมาเรียงร้อยของแก ไม่ว่าจะเป็นบทกวี กลอนเปล่า งานเขียนเรื่องสั้น ผลงานวรรณกรรมของแกสวยงามไปเสียหมด แม้จะสะท้อนเรื่องราวที่โหดร้ายอยู่ก็ตามที
อย่างเพลงหนึ่งที่ผมชอบมากคือ “ใกล้ตาไกลตีน” แค่ชื่อก็สะกิดใจแล้วครับ ความหมายก็ล้ำลึก ถ้าไม่ช่ำชองจริงๆ คงคิดออกมาไม่ได้ขนาดนี้นะครับ
หรือเพลง “คิดถึงบ้าน” หรือที่ใครๆ เรียกว่าเพลง เดือนเพ็ญ จะมีใครร้องได้กรีดหัวใจเท่าแกอีกเป็นไม่มี
เพลง ข้าวลาลาน นี้ เนื้อเพลงเป็นเหมือนเสียงบ่นของผู้ยากไร้ที่กำลังจนตรอก แต่ละคำ แต่ละวลี มีสัมผัสรับส่งกันอย่างกลมกลืน โดยเฉพาะสัมผัสในทั้งสัมผัสสระและอักษร เขียนไม่ง่ายนะครับกวีแบบนี้
ส่วนของเนื้อหาคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก อ่านอย่างพิจารณาก็น่าจะเข้าใจ แม้เพลงนี้จะเขียนไว้นานโข แต่สังคมไทยปัจจุบันก็ไม่ได้ต่างไปจากนี้ ส่วนจะกล่าวโทษใครก็ตามแต่ท่านจะพิเคราะห์เถิด ผมก็แค่คิดถึงเพลงนี้เท่านั้นเอง
“ข้าวลาลาน”
ชีวิตของข้านี่หนอ นั่งรอเพียงถึงวันตาย
หยาดเหงื่อแรงงานแล้งร้าย เลือดรายไหลรินหลั่งนอง
ดั่งเปรตปอบคอยรุมล้อม ตรมตรอมผอมโซสิ้นแรง
เด็ดแดดแผดเปลวลมแล้ง โอ้ฟ้าแดงดังแสงสุรีย์
ข้าเกิดเป็นคนทำนา ปู่ย่าตายายดั่งเดียว
ขุดก่นหว่านดำกำเคียว ซีดเซียวนับวันพันปี
ชั่วโคตรตระกูลหลานเหลน แก่เฒ่าลำเค็ญเช่นนี้
ดุจดั่งค่ำคืนกาลี โอ้ชีวีมืดมนอนธกาล
วันหนึ่งข้าเคยใฝ่ฝัน ขายมันขายปอเก็บเงิน
ขายไร่ขายนาวัวควาย อยากได้รถยนต์สักคัน
วิ่งส่งรับคนโดยสาร ไม่นานมันคงร่ำรวย
บุญบาปกลับไม่อำนวย โอ้แสนซวยรวยลงร่ำไป
น้ำมูกน้ำมันมันแพง ลูกเมียผอมแห้งอดโซ
ค่างวดก็แพงอักโข จะหัวโตเสียแล้วซีเรา
ขายข้าวขายเรือนขายเล้า กู้เขาก็ยังไม่พอ
เถ้าแก่ก็ไม่ปรานี ไม่ถึงปียึดเอาคืนไป
หลุบใหญ่ล่มจมเสียแล้ว ไม่เหลือแนวใดเป็นของเรา
จะอยู่ก็อายคนเขา จึงเลือกเอาหนทางสู่เมือง
รับจ้างแรงงานวันนี้ ชีวีนับวันฝืดเคือง
แต่ก่อนทุ่งนาเรืองเหลือง พอเข้าเมืองเหลือเพียงความหลัง
บ้านช่องเรือนชานสูญเสีย ลูกเมียอยู่กินอย่างไร
เงินทองไม่พอส่งให้ สุดแค้นใจเมื่อยในอกเรา
นั่งบ่นอยู่ริมทางเท้า ถึงคราวตกงานอีกครา
เหน็ดเหนื่อยแมื่อยแรงอ่อนล้า โอ้ชีวาดั่งข้าวลาลาน