คราวก่อนกะว่าจะคุยเรื่องการที่คนพม่านิยมเอามะพร้าวมาเซ่นไหว้ภูติผีหรือผีนัต แต่ดันไพล่ไปคุยเรื่องผีนัตเสียยืดยาว รอบนี้จึงได้โอกาสเหมาะคุยเรื่องมะพร้าวอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที
ถ้าใครไปพม่าก็จะเห็นคนพม่านิยมเซ่นไหว้ผีนัตหรือเทวดาต่างๆ ด้วยมะพร้าว (เรื่องผีนัตกลับไปอ่าน ตอนที่ ๑ นะจ๊ะ) เพราะมีตำนานเล่ากันมาตั้งแต่สมัยเมืองตะโกง (ตำนานก็คือตำนาน จริงหรือไม่จริงไม่ทราบ และยังมีการเล่าต่อกันมาหลายแบบ แต่เรื่องราวล้วนไปในทำนองเดียวกัน) มีสองพี่น้องคู่หนึ่ง คนพี่เป็นสาวสวยชื่อ ชเวมรัตละ คนน้องเป็นชายหนุ่มชื่อ งะตินเด คนพี่เข้าไปเป็นพระมเหสีในพระเจ้ากรุงตะโกง ส่วนคนน้องนั้นเขาว่าร่ำเรียนวิชาตามประสาคนโบราณ มีวิชาอาคมแข็งกล้าฟันแทงไม่เข้าจนเป็นที่เลื่องลือ พระเจ้ากรุงตะโกงซึ่งอาจจะพระกรรณเบาไปหน่อย ได้ฟังคำยุยงว่า งะตินเดนี่อาจคิดกบฎให้คิดหาทางตัดไฟเสียแต่ต้นลม
อาจเป็นเพราะพวกมเหสีองค์อื่นๆ ที่ริษยานางชเวมรัตละก็ได้จึงใส่ไฟไม่ยั้ง พระเจ้ากรุงตะโกงจึงออกอุบายเรียกให้งะตินเดเข้าเฝ้า ชายหนุ่มก็ไม่ทราบความคิดว่าไม่มีอะไรเพราะพี่สาวก็อยู่ในวัง จึงเดินทางมาเข้าเฝ้า พอเข้าถึงวังก็ถูกจับทันที
พระพุทธรูปประจำวันตามเจดีย์ต่างๆ
ก็นิยมไหว้ด้วยมะพร้าวกับกล้วย
พระเจ้ากรุงตะโกงสั่งประหารทันทีแต่ก็ทำอะไรงะตินเดไม่ได้ จะทิ่มจะแทงอย่างไรก็ไม่ระคายผิวเพราะมีวิชาอาคมติดตัว จึงใช้วิธีจุดไฟเผาแม่งเลย โดยเอาเขาไปมัดไว้กับต้นสะคะแล้วเอาไฟคลอก (ต้นสะคะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน) ฝ่ายนางชเวมรัตละรู้ข่าวจึงวิ่งเข้าไปช่วยน้องชายแต่ก็ถูกไฟคลอกตายตามไปด้วยกัน วิญญาณของทั้งคู่ (ที่ตายโหง) จึงกลายเป็นผีนัตสิงอยู่ที่ต้นสะคะ เป็นผีนัตที่ผูกพยาบาทและดุร้าย ในผ่านมาทางต้นสะคะก็ถูกฆ่าเสียหมดแล้วยังออกอาละวาดรังควานชาวเมือง จนพระเจ้ากรุงตะโกงจึงสั่งให้ถอนต้นสะคะทิ้งลงแม่น้ำอิระวดีซะเลย
ต้นสะคะที่มีผีนัตสิงไหลเรื่อยมาติดฝั่งที่เมืองพุกาม แต่ยังคงเกเรไม่เลิกไล่ทำร้ายชาวเมืองพุกามอีก เจ้าเมืองพุกามจึงทำพิธีบรวงสรวงจนทราบความเป็นมาทั้งหมด พระองค์จึงขอร้องไม่ให้ทำร้ายชาวเมืองอีกและสัญญาว่าจะเซ่นไหว้บูชาไม่ขาด จากนั้นจึงสั่งให้นำต้นสะคะไปปลูกไว้บนเขามหาคีรีหรือเขาโปปา ปลูกศาลไว้ให้ผีนัตสองพี่น้องอยู่ ชาวพม่าจึงเรียกขนากว่า ผีนัตมหาคีรี หลังจากนั้นเมืองพุกามก็สงบสุข กษัตริย์และชาวเมืองพุกามเคารพสองผีนัตนี้มากเพราะเชื่อว่าคอยปกปักคุ้มครองให้บ้านเมืองร่มเย็น กษัตริย์พระองค์ต่อๆ มาก็เคารพบูชาไม่ขาดจนกลายเป็นผีนัตประจำเมืองสืบมา
สมัยพระเจ้าจันสิตตา พระองค์เคารพสองผีนัตนี้มาก (ย้ำว่าเป็นตำนานนะครับ พระเจ้าจันสิตตานี้ยึดมั่นในพระพุทธศาสนามาก คงยากที่จะเชื่อถือเรื่องภูติผี แต่อีกนัยหนึ่งอาจเป็นไปได้เพราะเป็นกุศโลบายที่ต้องคล้อยตามประชาชนที่ยังคงเชื่อเรื่องผีกันอยู่) พระองค์โปรดให้เฉลิมฉลองผีนัตด้วยการเอามะพร้าวมาแขวนไว้บูชา เพราะผีนัตตายเพราะถูกเผา น้ำมะพร้าวมีความเย็น มีสรรพคุณช่วยดับร้อน จะได้ช่วยให้ผีนัตพอใจนั่นเอง
มะพร้าวที่ใช้เซ่นเขาจะใช้มะพร้าวอ่อน บากออกเหมือนที่บ้านเราใช้ไหว้ศาลเจ้านั่นล่ะ คนพม่าจะเอาไปแขวนไว้ที่ชานเรือน บ้างก็เอาผ้าแดงผูกไว้ประมาณว่าเป็นศีรษะของผีนัต ถ้าบ้านไหนมีคนไม่สบายเขาก็จะไปดูที่มะพร้าว ถ้าน้ำมะพร้าวยังไม่แห้งแสดงว่าคนป่วยอาการไม่หนัก แต่ถ้าน้ำมะพร้าวแห้งหรือเนื้อมะพร้าวแห้งเหี่ยวไป แสดงอาการคนป่วยอาการหนัก ให้เปลี่ยนมะพร้าวลูกใหม่มาเซ่นแทน มะพร้าวที่นำมาเซ่นนี้อาจนำไปทำขนมหรืออาหารเพื่อเป็นมงคลได้ แต่ต้องห้ามต้มหรือผ่านความร้อน เพราะต้องไม่ลืมว่าผีนัตถูกไฟคลอกตายจึงไม่ชอบอะไรร้อนๆ
สองผีนัตนี้เป็นที่เลื่อมใสมากในพุกาม กษัตริย์ทุกพระองค์เมื่อขึ้นครองราชย์ต้องมาบูชา ต่อมาผีนัตทั้งสองก็เป็นที่เคารพมากขึ้นจนกลายเป็นผีนัตประจำชาติพม่าในที่สุด ผมเองสันนิษฐานเอาว่าความเชื่อพวกนี้คงกระจายไปทั่วประเทศแล้วพัฒนาสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น จนนำไปสู่การนำมะพร้าวมาเซ่นไหว้เผื่อแผ่ไปยังผีนัตตนอื่นๆ ด้วย ดังนั้นในพม่าเราจึงเห็นเขาเอามะพร้าวมาไหว้เทพโน่นเทพนี้กันเต็มไปหมด บางแห่งถึงกับเอาสีทองมาทาทับลูกมะพร้าวให้ดูเป็นมะพร้าวทองคำก่อนนำไปไหว้เสียด้วย
ใครไปพม่าก็จะเห็นเขาตั้งแผงขายมะพร้าว กล้วย ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นชุดๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างตามศรัทธา วัดหรือศาลต่างๆ เขาก็มีขายกันด้านหน้า ชุดหนึ่งก็พันจ๊าต (ราวๆ ไม่เกิน ๔๐ บาท) ถ้าชุดใหญ่ๆ ราคาก็สูงขึ้นไปอีก หากจะไหว้ขอพรให้ครบสูตรก็อย่าลืมอุดหนุนชาวบ้านเขาล่ะ
จะเห็นว่ามะพร้าวบางลูกเป็นสีทองอร่ามเชียว
อันนี้ไปเห็นที่วัดโบตะทาวที่ศาลเจ้าแม่กระซิบ คนไทยเพียบเลย
คนพม่าเขานิยมไปขอลูกกันที่นี่ มีกล้วยกับมะพร้าวแน่นเต็มศาลทีเดียว