ท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ข้าพเจ้าไม่ชอบคำนี้เลย ฟังดูคล้ายจะคุกคามขู่เข็ญกลายๆ แม้ในความคิดของผู้คนทั่วไปน่าจะตีความไปในเรื่องของสิ่งที่เป็นเรื่องลึกลับ พิสูจน์ไม่ได้ เป็นทำนองผีสางเรื่องลี้ลับเสียมากกว่า แต่ในความคิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันน่าจะมีความหมายลึกซึ้งไปกว่าเรื่องของสิ่งเร้นลับที่ว่านี้
สมมติว่ามีเรื่องที่ผิดธรรมชาติใดๆ เกิดขึ้นสักอย่าง เมื่อผู้คนโจษจันกล่าวขานกัน สิ่งที่ตามมาโดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนไทยคือการให้ความเคารพยำเกรง กราบไหว้บูชา หรือเกิดเป็นความศรัทธาก็สุดแท้แต่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของผีสาง วิญญาณภูติผี แม้กระทั่งคนไม่ดีที่เมื่อมีชีวิตอยู่ถูกสาบแช่ง แต่เมื่อเสียชีวิตไปแล้วกลับถูกยกให้มีความน่าเกรงขาม มีความศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่นโจรผู้ร้ายชื่อดังในอดีตที่เมื่อสิ้นชื่อไปแล้วก็ถูกยกให้เป็นเจ้าพ่อนั่น เจ้าพ่อนี่ เป็นเจ้าเป็นจอมเวทย์อะไรก็สุดแท้แต่ หรือเรื่องใดๆ บุคคลใดๆ ก็ตาม ที่เมื่อสิ้นชื่อไปแล้วกลับได้รับการยกย่อง สิ่งเหล่านี้ถูกอุปโลกน์ขึ้นให้เป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ที่ใครจะล่วงละเมิดลบหลู่มิได้เด็ดขาด ก็ให้น่าสงสัยว่าที่ว่า “ศักดิ์สิทธิ์” นั้นเป็นอย่างไร
ในอดีตมนุษย์ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพราะเชื่อว่าจะช่วยทำให้เทพเจ้าพอใจ
ที่ได้ยินได้ฟังกันส่วนใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นมักจะแสดงให้เห็นในที่ลับเฉพาะบุคคล แต่ถูกส่งต่อปากต่อปาก ถูกแต่งแต้มจนขยายเรื่องราวไปจนเกินจริง เมื่อร่ำลือกันหนักเข้า ความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าก็เป็นที่โจษจัน และก็จะไม่เป็นเรื่องในที่ลับอีกต่อไปกลายเป็นการแสดงความศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งที่จริงแล้วบางครั้งมันก็เป็นเพียงเหตุบังเอิญบ้าง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติบ้าง หรือแม้แต่ไม่ได้มีอะไรเลย แต่เมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์เข้าแล้ว ก็โยงเอาสิ่งต่างๆ มาผูกเชื่อมกันเพื่อตอกย้ำความเชื่อว่านี่แหละคืออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์ซีรี่ส์อย่าง The X-Files คงจะเห็นตัวอย่างจากตัวละคร ฟ็อกซ์ โมลเดอร์ ตลอดเวลาเขาเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง เชื่อว่ามีการสมคบคิดกันของคนในรัฐบาล เมื่อพบเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่มีลับลมคมใน โมลเดอร์ ก็จะเอาไปเชื่อมโยงกับความเชื่ออย่างสุดโต่งของเขา ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องมนุษย์ต่างดาว เรื่องสมาคมลับ เรื่องการปกปิดความจริงของรัฐบาลไปเสียหมด โมลเดอร์พยายามค้นหาความจริงแต่เพื่ออะไรล่ะ เจ้าหน้าที่สกัลลี่ คู่หูของโมลเดอร์ตอกเข้ากลางใจของเขาเมื่อเธอเถียงไปว่า “โมลเดอร์ คุณพยายามพิสูจน์อะไร คุณไม่ได้พยายามหา ‘ความจริง’ หรอก คุณกำลังพิสูจน์ในสิ่งที่คุณเชื่อเท่านั้น คุณไม่ได้เชื่อเพราะว่ามันจริง แต่คุณเลือกที่จะเชื่อว่ามันจริงต่างหาก”
โมลเดอร์และสกัลลี่ สองคู่หูใน The X-Files ที่พยายามตามหาความจริง
หรือเอาตัวอย่างจากสังคมบ้านเรา พอมีเรื่องราวที่พิสูจน์ไม่ได้ขึ้นมา หรือบางครั้งจะพิสูจน์ได้แล้วก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็นสิ่งเร้นลับ แล้วเมื่อมีใครสักคนค้านว่ามันไม่ใช่ หรือแม้แต่เพียงตั้งคำถามว่า “ทำไม” “เพราะอะไร” คนจำพวกนี้ก็จะถูกมองว่า ไม่ให้ความยำเกรง ลบหลู่ อาจโดนประนามหรือถูกตราหน้าว่าเป็นแกะดำในสังคม คนอื่นที่มีคำถามแบบเดียวกันก็ไม่กล้าที่จะแสดงตน เพราะไม่ต้องการถูกกันออกไปเป็นคนนอกสังคมด้วย จึงเกิดคำพูดที่ว่า ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ เพื่อปรามมิให้มีใครกล้าคิดแตกแปลกไปกว่าความเชื่อโดยรวมของคนในสังคม
ในความคิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” มันก็คือกุศโลบายที่ไม่ให้ผู้คนกล้าคิดแย้งต่อสังคม แต่เดิมอาจเป็นการสอนให้ผู้น้อยยำเกรงผู้ใหญ่ โดยยกเอาความเชื่อแบบไทยๆ มาเป็นเครื่องมือช่วยสอนสั่ง ต่อมาเมื่อเห็นว่ามันใช้ได้ผล จึงมีการนำมาใช้ในเรื่องของผลประโยชน์ ห้ามมิให้ผู้ใดขัดขืน ห้ามมิให้ผู้ใดคิดต่าง นั่นก็คือการปิดกั้นความคิดของมวลชนนั่นเอง
เมื่อไม่เกิดการตั้งคำถาม (เพราะถ้านั่นหมายความว่าคุณบังอาจคิดต่าง) ความเชื่อที่ว่านี้จึงถูกถ่ายโอนจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยไม่มีใคร “กล้า” ตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องเชื่อ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันคร้านที่จะตั้งคำถาม ในเมื่อเขาว่ากันมาอย่างนี้แต่นมนาน แสดงว่ามันเป็นสิ่งดีสิ่งถูกแล้วสิ
มิใช่ว่าข้าพเจ้าจะค้านไปเสียทุกเรื่อง หากแต่ข้าพเจ้าไม่ใคร่ชอบใจที่จะให้เชื่อไปหมดเสียทุกอย่าง แม้พระพุทธองค์ยังสอนไว้ในกาลามสูตรเลยว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะเขาเชื่อกันมา บางครั้งการกล้าตั้งคำถามก็ไม่ใช่การแย้งเสียอย่างเดียว แต่เป็นการถามเพื่อไขข้อข้องใจให้กระจ่าง เพื่อที่จะได้เชื่ออย่างเต็มใจ หากผู้ถูกถามมองในมุมนี้เสียบ้างก็จะเป็นการดีกว่า ไม่ใช่ว่าพอมีคนแย้งก็พาลจะไม่พอใจ โดยไม่เคยลองมองย้อนกลับว่าที่เขาถามนั้นตัวเองตอบได้หรือเปล่า
กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei : ๑๕๖๔-๑๖๔๒)
ไม่เพียงเรื่องของสิ่งเร้นลับ แม้แต่ในชีวิตประจำวันเราเองก็ถูกสั่งห้ามมิให้แย้งต่อความเชื่อ ต่อคำสอน คำสั่ง ต่อธรรมเนียมปฏิบัติ ตัวอย่างที่เด่นชัดมากก็อย่างเช่นชะตากรรมของ เมอโซ ตัวละครใน “คนนอก” วรรณกรรมชิ้นเอกของ อัลแบร์ กามูร์ (อ่านเรื่องของเมอโซได้ที่ … “ไอ้ฟัก(กิ้ง)เมอโซ…คำพิพากษาของคนนอก”) หรือถ้าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่โตจนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ก็อย่างเช่นเรื่องของ กาลิเลโอ
ทุกวันนี้เรายอมรับกันโดยดุษฎีว่าโลกเรามีสัณฐานเป็นทรงกลม ก็เพราะเราเห็นด้วยตาชัดๆ ว่าโลกเราหน้าตามันเป็นอย่างไร แต่ในยุคโบราณที่วิทยาการยังไม่ได้ก้าวหน้า ความเชื่อในหลายๆ ด้านเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันผิด เพียงแต่ในขณะนั้นมัยไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ อีกทั้งองค์ความรู้ก็ยังมีอยู่อย่างจำกัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งโลกจะเชื่อกันว่าโลกเรานี้มันแบน มันแผ่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา แล้วก็โลกเรานี่แหละที่เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลทั้งมวล
ยุโรปในยุคสมัยโน้นถูกปกครองโดยศาสนจักร แม้จะไม่ได้ปกครองโดยตรงแต่ก็มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายให้คุณให้โทษแก่ผู้ใดก็ได้ ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ได้ก่อกำเนิดเป็นรูปธรรม ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ หากแต่ยังเป็นที่พึ่งทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นผู้ตอบคำถามในข้อสงสัยทั้งหลายทั้งปวง เป็นเหมือนผู้ชี้นำให้มวลชนเดินตามไปในแนวทางเดียวกัน แม้กษัตริย์เองก็ยังไม่อาจขึ้นครองอำนาจได้ หากไม่ได้รับการยอมรับจากศาสนจักร
ในอดีตนั้น ศาสนจักรมีอำนาจล้นฟ้า ชี้เป็นชี้ตายให้แก่ผู้ใดก็ได้
เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ ๑ เสวยราชย์ใหม่ๆ พระองค์ถูกต่อต้านอย่างหนักจากศาสนจักรและกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ โดยยกข้ออ้างต่างๆ นานา โดยเฉพาะการเป็นลูกของพระนางแอนน์ โบลีน (ซึ่งทางพระขนิษฐาต่างมารดา ควีน แมรี่ ประกาศว่านางเป็นลูกนอกกฎหมาย) รัฐสภาอังกฤษส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบในการตั้งพระนางขึ้นเป็นราชินี และแน่นอนว่าเรื่องนี้มีศาสนจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งพระนางหนุนหลังพวกโปแตสแตนท์ ก็ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ศาสนจักรยิ่งขึ้นไปอีก
ย้อนกลับมาที่กาลิเลโอ ในตอนนั้นคนทั้งโลกพากันเชื่อว่า โลกเรานี้แบนและโลกยังเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แต่กาลิเลโอไม่เชื่อเช่นนั้น ปราชญ์ชาวเมืองปิซ่าผู้นี้ประกาศว่าโลกเราน่ะมันกลม อันที่จริงทฤษฎีเรื่องโลกกลมมีมาตั้งแต่ในสมัยของ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เขาเป็นคนแรกๆ ที่คิดทฤษฎีนี้ขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ แต่เขาก็ไม่ได้ประกาศออกมาด้วยเกรงอำนาจของศาสนจักร แต่กาลิเลโอไม่เป็นเช่นนั้น เขากล้าท้าทายคำสอนของศาสนจักรโดยการประกาศความเชื่อที่ว่านี้
ไม่เพียงเท่านั้น กาลิเลโอ ยังกล้าท้าพิสูจน์หลายๆ ทฤษฎีต่อหน้าสาธารณะ ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะไม่พ้นการทดลองที่หอเอนปิซ่ากับทฤษฎีที่ว่า วัตถุต่างชนิดกันจะตกลงสู่พื้นพร้อมกันหากปล่อยจากที่สูงในระยะทางที่เท่ากัน เขาทำการทดลองโดยใช้ก้อนหิน ลูกเหล็ก และสำลี (บ้างก็ว่าขนนก) ปรากฎว่าสองสิ่งแรกตกถึงพื้นพร้อมกัน (แต่สิ่งสุดท้ายถึงพื้นช้าสุดเพราะมีแรงต้านจากอากาศ) เพราะโดยทั่วเราคนมักเชื่อว่าของที่หนักกว่าจะต้องตกลงถึงพื้นได้เร็วกว่า แต่กาลิเลโอก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ความเชื่อในเรื่องของพระเจ้า ถูกนำมาใช้แสวงหาผลประโยชน์อยู่เสมอๆ
และโดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล อันนี้แหละที่ศาสนจักรถือว่าเป็นเรื่องรุนแรงอย่างมากที่เขาบังอาจท้าทายคำสอนของศาสจักร แม้จะไม่มีการพิสูจน์ในยุคนั้นหรือแม้ว่าจะพิสูจน์ได้ก็ตามที ซึ่งหากว่ามันเป็นจริงขึ้นมาก็จะกลายเป็นว่าศาสนจักรเป็นฝ่ายผิด แน่นอนว่าพวกเขาจะผิดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเกิดกาลิเลโอคนที่สอง ที่สาม ตามขึ้นมามากมาย แล้วอำนาจของพวกเขาก็จะสูญสลายไปในที่สุด เพื่อป้องกันการสูญเสียที่ว่านี้ กาลิเลโอ จึงถูกจับกุมและทำการไต่สวนทันที ในข้อหาสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ศาสนจักร
แม้ท้ายที่สุด กาลิเลโอจะยอมจำนนต่ออำนาจของศาสนจักร แต่เขาก็ได้รับการยกย่องภายหลังว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ การยอมงอแทนที่จะยอมหักในครั้งนั้นช่วยต่อชีวิตของเขาให้ยืนยาวพอที่จะสร้าง สรรค์ทฤษฎีสำคัญๆ ขึ้นมาอีกมากมาย แม้ว่าชั่วชีวิตของเขาหลังจากนั้นจะอยู่ภายใต้การระแวดระวังของทางศาสนจักรก็ตามที
หลายร้อยปีให้หลัง ความไม่เชื่อของกาลิเลโอก็ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นความจริง ความจริงที่เขาไม่ได้ลบหลู่หากแต่ตั้งคำถามและหาข้อพิสูจน์ แต่กลับถูกปิดกั้นจากเบื้องบนที่มีอำนาจเหนือกว่า กาลิเลโอเป็นผู้หนึ่งที่กล้ายกมือขึ้นซักถาม กล้าคิดต่างจากสิ่งที่ครอบงำอยู่