จะจบแล้วจ้ะ ยังมีภาพบางส่วนที่อยากจะบันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำ ก็เลยถือโอกาสเล่าด้วยภาพเลยละกัน
อยากให้แหงนหน้าดูสายไฟที่ระโยงระยาง เหมือนบ้านเราไม่มีผิด ที่เกาหลียังคงเดินสายไฟตามบ้านด้วยการดึงสายจากเสาไฟหลักตามถนนใหญ่ ซึ่งเหมือนเมืองไทยเปี๊ยบ ดังนั้นจึงมีภาพสายไฟระเกะระกะดูหวาดเสียวไม่น้อย ไม่รู้สายไหนเข้าบ้านไหน พันกันยุ่งเหยิงไปหมด บางที่ก็ต่ำเตี้ยจนระหัวคนเดิน กลัวไฟมันจะรั่วไหลลงกบาลเสียจริงๆ
อีกอย่างหนึ่งที่จับพิรุธได้คือที่โซล (ไม่รู้เมืองอื่นเป็นไหม) รู้สึกจะนิยมมินิมาร์ทมากเสียจริง เดินเล่นไปรอบๆ เมืองทุกๆ ร้อยเมตรจะต้องเจอมินิมาร์ทเข้าซักร้าน ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ล่ะ ในภาพเป็นซอยขนาดย่อมๆ ระยะทางประมาณ ๑ กิโลเมตรนิดๆ ผมเดินเล่นมันทุกวัน เจอมินิมาร์ทหลากยี่ห้อประมาณ ๘ ร้าน เข้าแม่งทุกร้านเลย ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ค่อยจะเจอร้านโชห่วยแบบบ้านๆ
อันนี้เป็นร้านขายของกินที่ตลาดฮงอิก ไม่รู้จะเรียกอะไรดี ดูหน้าตาคล้ายเกี๊ยวซ่า มีทั้งแบบทอด แบบนึ่ง และแบบต้ม ข้างในเป็นไส้ผักและเนื้อสัตว์ ไม่รู้ใช้ผักอะไร รสชาติเค็ม มัน และชิ้นมหึมามาก จานนึงได้มา ๕ ชิ้น กินได้อิ่มหนึ่งเลยเชียว เขาให้ยืนกินเอาหน้าร้าน รีบกินรีบไปเอาอิ่มเร็วเข้าว่า จะซื้อกลับบ้านก็มีพร้อมบริการ ผมแวะมาร้านนี้สามรอบ เจ๊คนนี้เป็นพนักงานในร้าน ส่วนเจ้าของร้าน (เข้าใจว่าใช่) ผมจีบไว้ตั้งแต่วันแรกที่ไปอุดหนุน พอขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเจ๊เจ้าของขวยอายใหญ่ บอกว่าให้ถ่ายอีนี่แทน
แผงนี้อยู่ที่ตลาดเมียงดง แผงขายของกินที่โน่นมีทั้งแบบที่เป็นเพิงขึงด้วยผ้าพลาสติกสีส้มอร่ามตา และแบบที่เป็นร้านค้าถาวรแบบนี้ พื้นที่เล็กๆ ไม่กีดขวางทางเดินนัก คงเพราะทางเดินบ้านเขาค่อนข้างกว้าง เฉพาะบริเวณถนนเส้นใหญ่นะที่มีทางเท้ากว้างหน่อย ร้านพวกนี้ก็ขายอาหารยอดนิยมพวกของทอดประเภทต่างๆ คือไม่รู้ห่าอะไรแม่งจับชุบแป้งลงทอดหมด กินกับซอสมะเขือเทศและซอสพริก ราคาไม่แพง ถ้าเทียบบ้านเราก็คงราวๆ ๓๐ บาท
ห้างอะไรก็ไม่รู้ ห้างแบบนี้มีเกลื่อน ยิ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งอย่างเมียงดง ทงแดมุน ประมาณคล้ายๆ ประตูน้ำแพลตินั่ม บ้านเรา ขายเสื้อผ้าเครื่องประดับเต็มห้าง แผงใครแผงมัน ขายทั้งส่งทั้งปลีก เดินๆ ดูก็ไม่ต่างจากบ้านเรานัก บ้านเราใส่อะไรบ้านมันก็มีเหมือนกัน มีให้เลือกกันจุใจ สาวๆ คงเดินกันได้ทั้งวัน แต่หนุ่มๆ จะหน้าซีดหน่อย ราคายืนพื้นที่ ๑ หมื่นวอน ราวๆ ๒๘๐ บาท เหมือนบ้านเราที่ยืนพื้น ๑๙๙ หมอลองเข้าไปเลือกซื้อดูร้านนึง เจ๊บอกราคามาแทบทรุด พอบอกไม่เอา ราคาก็ถูกเปลี่ยนทันที แต่สุดท้ายเราก็ไม่เอาอยู่ดี
ภายใต้ความเป็นเมืองใหญ่ก็ยังมีมุมเล็กๆ สำหรับวิถีชาวบ้าน คล้ายบ้านเรา อย่างป้าคนนี้ยึดเอาพื้นที่เล็กๆ ทางลงรถไฟเป็นอาณาจักรขายผักเล็กๆ ของแก มีกั้นคอกซะด้วย ประกาศพื้นที่ชัดเจนไม่เบียดเบียนใคร มันเป็นมุมที่ไม่น่าจะมีใครมาตั้งแผงขายผักและไม่คิดว่าจะมีใครมาซื้อ แต่เอาเข้าจริงก็มีคนมาซื้อเยอะเหมือนกัน ประเภทก่อนเข้าบ้านก็แวะซื้อซักหน่อย ผักที่ขายก็เป็นผักกำเล็กๆ ดูเหมือนคะน้า มีถั่ว หอมใหญ่ กระเทียม ดูแกขายแบบสบายๆ ดี แล้วก็ไม่ยักกะมีใครมาไล่ที่ซะด้วย
แผงแบบนี้มีเห็นทั่วเมือง บางจุดมีหลายแผง บางจุดก็มีแผงเดียว ที่เห็นแบบอึ้งก็คือเจอป้าแก่ๆ คนนึงจอดซาเล้งโทรมๆ ไว้ข้างทาง มีถุงพลาสติกขึงคลุมโน่นคลุมนี่ดูเหมือนคนจร ที่ไหนได้ ป้าแกขายปลา กำลังยืนขอดเกล็ดอยู่ริมทางเท้านั่นแหละใครจะทำไม แล้วก็มีแม่บ้านมายืนรอซื้อซะด้วย ทำไปได้
ที่โซลจะมีถนนเส้นเล็กๆ ตัดซอยกันยิบย่อย แล้วก็ทะลุถึงกันได้ตลอดเสียด้วย แทบจะไม่เจอซอยตันเลย เส้นนี้เป็นถนนตัดผ่านใกล้ๆ มหาวิทยาลัยฮงอิก ตลอดทั้งเส้นเขาเปิดร้านห่าอะไรไม่รู้เกลื่อน คือดูไม่เป็นย่านอะไรซักอย่าง คือมีร้านทุกประเภทเปิดกันมั่วซั่วไปหมด มากสุดก็ร้านของกินประเภทผับ ร้านเหล้า ระหว่างนั้นก็มีร้านตัดผม มินิมาร์ท ร้านขายอดอกไม้ ขายเสื้อผ้า ร้านขายแว่นตา หอพัก หรือบ้านคนเฉยๆ คือแม่งเปิดกันตามใจฉัน ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ ขืนเปิดเหมือนๆ กันหมด คนเดินก็เซ็งแย่
อลังการร้านขายรองเท้าที่เมียงดง ไม่มีเก็บ ไม่มีกั๊ก ไม่มีเม้ม คือกูมีขายเท่าไหร่ก็โชว์แม่งหมด ข้อดีคือทำให้ร้านดูน่าเข้า และดูสินค้าเยอะ ข้อเสียคือลูกค้ามึน ถ้าดูดีๆ มันก็รูปแบบเหมือนๆ กัน แต่มันดูน่าแวะชมใช่ไหมล่ะ ถามหาแบบไหน เบอร์อะไร คนขายแม่งหาได้หมด
ขายเครื่องสำอางประทินโฉมแท้ๆ แต่พรีเซนเตอร์เสือกเป็นผู้ชาย (รึเปล่า) เดินๆ ดูแล้วพบว่าพรีเซนเตอร์ส่วนใหญ่กลับเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเสียอีก แล้วอ้ายอีพวกนี้แม่งก็เสือกหน้าใสกว่าสาวๆ ตัวจริง ตกลงมันจะขายเพศไหนกันแน่วะเนี่ย
อีเจ๊ที่ยืนแอ่นอยู่หน้าร้านนี่คืออาชีพเรียกแขก หล่อนจะประกาศกู่ร้องสรรพคุณและจุดขายของร้าน พร้อมแจกของให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบางร้านถึงขั้นจูงมือ บางร้านใจถึงกว่า คว้าตัวกอดปล้ำแกมบังคับให้เข้าร้านให้ได้ แต่ไม่ซื้อก็ไม่ว่าอะไร รับของแจกฟรีเปล่าๆ ก็ได้ เพราะมันวางกลยุทธ์ไว้เสร็จสรรพแล้ว
กลยุทธ์ที่ว่าก็คือร้านห่าพวกนี้มันหาใช่มีร้านเดียว อย่างที่เมียงดง คุณจะเจอ FACE SHOP ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ร้านคือเดินเลยร้านนี้ไป เดี๋ยวก็เจออีกร้านจนได้ มึงไม่ซื้อร้านนี้เดี๋ยวก็ต้องเข้าอีกร้าน เล่นใช้วิธีขยายพื้นที่ให้เยอะเข้าว่า มึงมาเดินที่นี่ก็ต้องมาช้อปปิ้งอยู่แล้ว โอกาสที่จะเสียทรัพย์ให้พวกมันมีอยู่แล้วไง ดังนั้นมีงรับของแจกกูไปก็ต้องเกิดสนใจบ้างแหละน่า แล้วบางร้านแอบสังเกตเห็นว่ามันหันหลังชนกัน คือตึกที่นี่มันเปิดสองด้านหันหลังชนกัน แล้วปรากฏว่าบางร้านแม่งเสือกร้านเดียวกันแต่เปิดคนละฝั่ง เอากะแม่งสิ
ดูอลังการราวกับปราสาทในเทพนิยาย สีสันสดใสสว่างมลังเมลือง ที่ผมลองนับดู FACE SHOP นี่เยอะสุดนะ หรือผมอาจจะนับซ้ำก็ได้แล้วทุกร้านพวกนี้แม่งเข้าไปทีไรก็เจอคนไทย ไม่รู้เราไปยึดแม่งเป็นเมืองขึ้นเมื่อไหร่ บางร้านคนขายเป็นคนไทย มีติดป้ายบรรยายสรรพคุณภาษาไทยซะด้วย ที่เด็ดกว่าคือที่ ETUDE กำลังดูอะไรเพลินๆ มีแขกนุ่งส่าหรีเข้ามา นังคนขายพอส่งภาษาไม่รู้ความ ก็เรีกยแผนกอาบังมาทันที คือแม่งมีทีมขายครบหลายเชื้อชาติเว้ย
หมอลองเข้าไปถามร้านนึง มันก็ส่งภาษาแรกคือเกาหลี นึกว่าชาติเดียวกัน อ๊ะไม่ใช่ แม่งส่งต่อภาษาญี่ปุ่น อ๊ะยังไม่ใช่ ภาษาจีนเอ้า ไม่ใช่อีก สุดท้ายจบลงที่ภาษาไทย แม่งเรียงลำดับตามค่าเงินรึไงวะ แล้วแม่งพูดไทยชัดชิบหาย สวัสดีค่ะ ชัดแจ๋ว ไปเจอร้านนึง Rojukiss ซื้อของฝากลูกสาว คนขายเป็นไทยแท้ๆ คุยไปคุยมาได้ของแถมมาถุงเบ้อเริ่ม เธอบอกว่าคนไทยบางคนแม่งมาซื้อกระปุกเดียวแต่ขอของแถมเป็นลัง ผมไม่ได้ขอเพราะไม่รู้ว่ามันขอได้ เธอเลยตอบแทนโทษฐานที่ไม่ยอมขอตามนิสัยคนไทย ด้วยการขนมาให้เพียบ … แต่กูขี้เกียจแบกเว้ย
รั้วบ้านใครไม่รู้ เสือกทำเท่ใช้เซรามิคเล็กๆ ประดับรั้ว ก็สะดวกพวกมือบอนสิครับ เขียนห่าอะไรไม่รู้ระบายกันเต็ม แบ่งช่องให้เสร็จสรรพ ชอบใจเขาล่ะ ที่นี่ก็มีพวกศิลปินข้างถนนเยอะ มีที่ว่างแม่งก็พ่นระบายซะ บางที่ทำกราฟิตี้สวย อย่างแถวฮงอิกนี่ทำสวยนะ แต่ไม่ได้ถ่ายมาให้ดู มันพ่นเป็นรูปนักบาส โคตรสวย ขนาดเบ้อเริ่มแต่ scale ไม่มีเพี้ยน พวกนี้แม่งฝีมือ ไม่ต้องร่าง พ่นกันสดๆ
ป้าอ้วนนี่จอดรถขายอยู่ระหว่างทางกลับที่พัก นอกจากร้านริมถนน เพิงพลาสติกสีฉูดฉาด ก็มีรถกะป๊อแบบนี้แหละที่จอดตามจุดต่างๆ ของที่ขายก็ไม่พ้นของทอด ของนึ่ง พนักงานบริษัทใส่สูท ออฟฟิศเกิร์ลเซกซี่ก็มายืนกินเหมือนๆ กัน ก็มันหิวนี่หว่า แล้วยิ่งอากาศเย็นๆ แวะจิบซุปร้อนๆ ไก่ย่างซักไม้ ก็ทำให้อุ่นพุงดีนัก
ป้าอ้วนนี่ผมก็อุดหนุนแกประจำ วันละไม้ จนสุดท้ายก็ได้แถมจนได้ (วางแผนไว้แล้ว) จีบไว้สองวันเท่านั้นแหละได้เรื่อง ส่งภาษากันไม่รู้เรื่องหรอก แต่คนเกาหลีใจดีมาก ยิ่งกับนักท่องเที่ยวแล้ว เขายิ่งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ พวกแม่ค้าพ่อค้านี่ก็สุดยอด ทำความรู้จักไม่กี่ครั้งก็จำเราได้ แล้วก็ได้แถมเรื่อย
ร้านนี้เป็นร้านที่ผมฝากท้องไว้มากสุด อยู่ใกล้ที่พักหัวโค้ง สถานที่ตั้งร้านดูไม่น่าจะขายได้ เพราะแถวนั้นเงียบเชียบ แต่ก็ดันขายได้ซะงั้น ขายอาหารทั่วๆ ไป พวกข้าวหน้าต่างๆ แล้วก็อาหารชุด ข้อดีคือมันมีภาพประกอบผมเลยเลือกได้
ร้านนี้แหละที่ผมเคยเล่าไปว่าเถ้าแก่มายืนจ้องแกมบังคับว่าให้เอาข้าวใส่ในน้ำแกง จนได้กินข้าวต้มเละๆ ก่อนจากบังเอิญเจอแกกำลังปิดร้านพอดี แวะเข้าไปทักทายบอกว่ากูจะกลับแล้วนะ จับมือโอบกอดร่ำลากันราวกับเป็นญาติสนิทเชียว