คุ้นเคยกับหนังฮอลลิวู้ดมาพอสมควร เพราะบ้านเราค่อนข้างจะมีสัมพันธ์อันดีกับภาพยนตร์จากฝั่งอเมริกา แม้หนังจากทางฝรั่งยุโรปก็มีเข้ามาฉายให้เราชมอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเต็มทีเมื่อเทียบกัน ยกเว้นว่าหนังที่แรงจริงๆ หรือได้รับการโหมโปรโมทอย่างแรงๆ ที่เด่นๆ พอจะนึกออกก็เช่น Life is Beautiful หนังอิตาเลียนรางวัลออสการ์ All About My Mother หนังออสการ์อีกเรื่องของสเปน Indochine อันนี้เป็นหนังฝรั่งเศสแล้วก็มีออสการ์การันตีอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น
มีคนแนะนำให้ไปชมหนังสยองขวัญสัญชาติสเปนเรื่อง The Orphanage มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาว่าเป็นหนังสยองขวัญมีชั้นเชิงไม่ใช่สักแต่จะเรียกเสียงหวีดอย่างเดียว จึงเย้ายวนให้อยากไปชมยิ่งนัก แล้วก็เลยลากคนที่แนะนำนี่แหละให้ไปดูกันด้วยเสียเลย แม้ว่าเธอจะไม่ถูกกับหนังสยองขวัญเอาเสียเลยแต่ก็ลากกันไปชมจนได้
จากที่ทำการบ้านไปก่อนจึงจับความได้ว่าเรื่องนี้ใกล้เคียงกับแนวหนังที่ขึ้นหิ้งอย่าง The Sixth Sense หรือ The Others แต่ก็อยากพิสูจน์ว่ามันดีจริงหรือเปล่า เห็นว่าเข้าชิงถึง ๑๒ รางวัล ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ อันที่จริงหนังทางฝั่งยุโรปก็ไม่แตกต่างจากหนังฮอลลิวู้ดที่เราคุ้นชินกันนัก ศิลปะภาพยนตร์มันค่อนข้างสากล มีเพียงแค่ความต่างของวัฒนธรรมเท่านั้นที่อาจทำให้เกิดคำถามกับผู้ชมบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเสพกันได้สบายๆ มีแค่เสียงพูดเท่านั้นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ลอร่า อดีตเด็กกำพร้าที่ดำเนินชีวิตอย่างที่เรียกว่าเกือบสมบูรณ์แบบ เธอมีสามีที่แสนดีอย่าง คาร์ลอส และ ซิโมน ลูกชายวัยน่ารักน่าชัง ลอร่าและคาร์ลอสตั้งใจจะเปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆ ขึ้น โดยใช้บ้านหลังใหญ่ซึ่งในอดีตก็คือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ลอร่าเคยอาศัยอยู่นั่นเอง ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวยแต่ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้
ลอร่า ค่อนข้างจะเป็นกังวลกับพฤติกรรมแปลกๆ ของ ซิโมน ที่มักจะเล่าถึงเพื่อนเล่นของเขา ในขณะที่คาร์ลอสซึ่งเป็นหมอก็ปลอบว่าเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยนี้ที่มักจะสร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมา แต่ซิโมนกลับจริงจังกับเรื่องเพื่อนของเขามากจนเธอเห็นว่ามันจริงจังจนน่ากลัวเกินไปหน่อยแล้ว ต่อมาซิโมนได้รู้ความจริงที่ว่าเขากำลังป่วยหนัก พร้อมที่จะตายทุกเมื่อหากไม่กินยาที่เขากินอยู่เป็นประจำโดยคิดว่านั่นเป็นเพียงวิตามินบำรุง แล้วซิโมนรู้ความจริงนี้ได้อย่างไร
“…โทมัสบอกผมหมดแล้ว แม่โกหกผม ผมกำลังจะตาย”
ลอร่าและคาร์ลอสกลุ้มใจกับสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ทันได้คาดคิด แต่ซิโมนยังเด็กเกินกว่าที่จะตั้งคำถามอะไรมากมาย นั่นพอจะทำให้เรื่องราวคลี่คลายไปได้ด้วยดี แต่เรื่องเพื่อนในจินตนาการของเขาก็ยังสร้างความหงุดหงิดให้กับผู้เป็นแม่อยู่มากทีเดียว จนกระทั่งถึงวันเปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย ลอร่าชวนให้ซิโมนลงไปเล่นกับเพื่อนข้างล่าง แต่ซิโมนกลับชักชวนให้เธอไปดูบ้านของโทมัส ลอร่าออกอาการหงุดหงิดเมื่อซิโมนดึงดันให้เธอไปดูบ้านของโทมัสให้ได้ เธอหัวเสียที่ลูกชายยังคงยึดติดกับเพื่อนในจินตนาการจึงพลั้งมือตบเข้าให้ฉาดหนึ่ง
“…ก็ได้ ถ้าลูกไม่อยากลงไปก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่มีใครบังคับลูก”
หลังจากหายหงุดหงิดแล้วเธอจึงขึ้นมาตามหาซิโมน แต่สิ่งที่เธอได้พบคือเด็กลึกลับสวมหน้ากากกระสอบ ผลักเธอจนล้มและขังไว้ในห้องน้ำ จนเมื่อออกมาได้ก็เริ่มค้นหาซิโมน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของลูกชาย ซิโมนหายไปไหน !? … สองสามีภรรยาต้องอยู่อย่างทรมานเมื่อต้องเสียลูกชายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสองทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาซิโมน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวมันซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจ เมื่อค้นหาซิโมนทุกทางแล้วไม่ได้ผลคืบหน้า ลอร่าจึงลองใช้วิธีทางไสยศาสตร์ แล้วเรื่องราวที่แสนเศร้าก็เริ่มเปิดเผยขึ้น
เมื่อตอนที่ลอร่ายังอยู่ที่นี่ เธออยู่ร่วมกับเพื่อนๆ อีก ๖ คน หนึ่งในนั้นคือ โทมัส เป็นเด็กชายที่เกิดมาพิกลพิการหน้าตาอัปลักษณ์จนต้องสวมหน้ากากไว้ตลอดเวลา ด้วยความซุกซนตามประสาเด็ก จึงหลอกให้โทมัสไปที่ถ้ำริมชายหาดแล้วถอดหน้ากากออกเพื่อจะพิสูจน์ว่าโทมัสจะกล้าออกมาหรือไม่ โชคร้ายที่โทมัสไม่กล้าที่จะออกมาเองเขาจึงถูกน้ำท่วมตายอย่างน่าสงสาร หลังจากสืบสวนก็ลงความเห็นกันว่าเป็นเพราะความซนตามประสาเด็ก แต่แม่ของโทมัสที่ทำงานอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กแห่งนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น เธอคลั่งแค้นเด็กๆ เหล่านั้นที่ทำให้โทมัสต้องตาย จึงได้วางยาสังหารเด็กๆ อย่างโหดร้ายและซ่อนศพเอาไว้ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่ลอร่าถูกพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงดู มิเช่นนั้นแล้วเธอคงต้องเสียชีวิตไปพร้อมกับเพื่อนๆ อย่างแน่นอน
หนังหลอกล่อผู้ชมด้วยการค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวในอดีตที่แสนเศร้าทีละน้อยๆ วิญญาณเด็กๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านและยังคงเล่นซนตามประสาโดยมีเพื่อนใหม่คือซิโมน บทสรุปของหนังทำเอาผู้ชมเกือบช็อคเมื่อทราบว่าจุดจบสุดท้ายของซิโมนเป็นเช่นไร และใครเป็นผู้กระทำ หนังจบลงด้วยความสุขเมื่อลอร่าเจอลูกชายและเด็กๆ ต่างดีอกดีใจที่ลอร่าเพื่อนของเธอกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง! แต่ตรงกันข้าม มันกลับสร้างความระทมทุกข์ให้กับคาร์ลอสที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต
หนังสเปนเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับหนุ่ม อันโตนิโอ บาโยน่า ที่ถือว่าเป็นผู้กำกับหนุ่มมือใหม่ไฟแรงของแดนกระทิง อันที่จริง The Orphanage เกือบจะไม่ได้สร้างด้วยซ้ำเพราะติดปัญหาเรื่องของงบประมาณ โชคดีที่ กิลเยร์โม่ เดล โทโร่ ผู้กำกับชาวเม็กซิกันยื่นมือเข้ามารับเป็นผู้อำนวยการสร้าง (ผลงานสุดเจ๋งของ เดล โทโร่ อย่างเช่น Hell Boy ทั้งสองภาค และ Pan’s Labyrinth) โครงการ The Orphanage จึงสามารถดำเนินการต่อได้จนสำเร็จ
บาโยน่าเล่นกับความกลัวของมนุษย์ นั่นคือการสูญเสีย การพลัดพราก ที่แม้มันจะเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตแต่คนเรามักจะยอมรับมันไม่ได้ และที่สำคัญสาเหตุของการพลัดพรากนั้นบางทีอาจจะกระเทือนจิตใจร้ายแรงยิ่งกว่าเสียอีก อย่างเช่นแม่เฒ่าเบนนิญ่า แม่ของโทมัส บางทีหล่อนอาจจะไม่เสียใจมากจนกลายเป็นความแค้น หากการตายของลูกชายไม่ได้เกิดจากการเล่นซนของเด็กๆ จริงอยู่ที่เด็กๆ ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ดูจะเป็นเหตุผลที่รับไม่ได้สำหรับคนเป็นแม่ ต่อเนื่องมาถึงลอร่าและซิโมน ที่เรื่องราวก็ยังเกิดขึ้นจากการเล่นซนของเด็กๆ ทั้งซิโมนเองและเหล่าวิญญาณที่ยังคงความเป็นเด็กอยู่ตลอดกาล
แม้ลอร่าและคาร์ลอสจะรักลูกเพียงใด แต่พวกเขาไม่น่าจะลืมไปว่าซิโมนอยู่ในวัยที่ต้องการพัฒนาการทางสังคม ตลอดทั้งเรื่องซิโมนไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย (ไม่นับพวกผีๆ ) วัยของซิโมนน่าจะอยู่โรงเรียนมากกว่า ที่นั่นเขาจะได้พบกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน รู้จักการเข้าสังคม การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ในขณะที่ความเป็นจริงโลกของเขามีเพียงแม่กับพ่อและเพื่อนในจินตนาการ ทั้งลอร่าและคาร์ลอสต่างก็ไม่สามารถเล่นกับเขาได้ตลอดทั้งวัน และดูท่าทางซิโมนก็อาจมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น อย่างวันเปิดงาน มีเด็กวิ่งเล่นอยู่เต็มบ้าน แต่ซิโมนกลับไม่สนใจที่จะลงมาเล่นสนุกให้สมวัย
ในทางกลับกันหากวันนั้นลอร่ายอมเสียเวลาเออออไปกับซิโมนเพียงสักนิด เรื่องราวที่น่าเศร้าคงไม่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่มักจะมองเรื่องของเด็กๆ ว่าเล็กน้อยเสมอ แต่สำหรับเด็กๆ แล้วมันคือเรื่องคือขาดบาดตายสำหรับพวกเขาเลยทีเดียว
หนังจบลงอย่างมีชั้นเชิงด้วยการจับเอาเรื่องของปีเตอร์แพนกับเนเวอร์แลนด์มาเป็นการบอกนัยถึงปลายทางของคู่แม่ลูก ที่เนเวอร์แลนด์นั้นเด็กๆ ที่นั่นจะคงความเป็นเด็กไปตลอดกาล แต่เวนดี้ที่อยู่ในโลกปัจจุบันกลับแก่ขึ้นตามความอายุขัย เธอจังไม่สามารถกลับไปที่เนเวอร์แลนด์ได้อีก เหมือนอย่างที่ตอนต้นเรื่อง ซิโมนบอกกับลอร่าว่าเขาจะพาเธอไปเนเวอร์แลนด์ด้วย แต่ท้ายที่สุดเธอกลับเป็นฝ่ายตามเขาไปยังเนเวอร์แลนด์เสียเอง และเนเวอร์แลนด์ (Neverland) ที่ว่านั่นก็คือโลกหลังความตาย ที่เด็กๆ (เพื่อนของลอร่า) ยังคงความเป็นเด็กไปตลอดกาล รอคอยการกลับมาของเวนดี้ (ลอร่า) เพื่อนต่างวัยที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเด็กเหมือนพวกเขา
รักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจินตนาการ แต่บางครั้งการรักลูกมากจนเกินไป รักในแบบที่ทะนุถนอมจนเกินเหตุ ห่วงโน่นห้ามนี่ ไม่ให้เขาพัฒนาศักยภาพของตนเองออกมาตามวัย เหมือนอย่างที่พ่อแม่สมัยนี้นิยมปฏิบัติ คือเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเจ้านาย ตามใจจนทำให้เด็กเสียนิสัย ความรักแบบนี้ไม่ได้ส่งผลดีใดๆ กับเด็กเลย หากแต่มันจะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สมบูรณ์ จนอาจส่งผลร้ายต่อตัวเขาเองและสังคมในที่สุด