(บทความชุดนี้มีการเพิ่มเติมความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในบางประเด็น จึงโปรดพิจารณาก่อนหากท่านใดจะนำไปอ้างอิง)
จากความขัดแย้งกันภายในของอิสลามิกชนจนก่อให้เกิดการแบ่งออกเป็นสองนิกายคือ สุหนี่ (Sunni) กับ ชีอะ (Shi’a) ทั้งสองฝ่ายต่างก็เริ่มแสวงหาแนวร่วมด้วยการเผยแพร่ลัทธิตามความเชื่อของตน และอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลมากที่สุดคือการขยายอาณาเขตออกไปให้กว้างมากขึ้น โดยฝ่ายสุหนี่ประสบความสำเร็จมากกว่าเนื่องจากพื้นเพเป็นนักรบ
จนถึงศตวรรษที่ ๑๑ ชนเผ่า Seljuk Turk ซึ่งมีรกรากอยู่ตอนกลางของดินแดนตะวันออกกลาง บริเวณประเทศเติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน ในปัจจุบัน เริ่มมีวคามเข้มแข็งมากขึ้นอย่างโดดเด่น ชาวเติร์กกลุ่มนี้นับถือศาสนาอิสลาม และเริ่มมีแนวคิดในการขยายอาณาเขตของตนเอง อีกทั้งในช่วงนั้นชาวอิสลามทั้งสองฝ่าย (สุหนี่และชีอะ) เริ่มอ่อนแอลง จึงเป็นโอกาสเหมาะที่ชาว Seljuk Turk สามารถขยายอิทธิพลจนกระทั่งเข้ายึดครองดินแดนเปอร์เซียมาจนถึงอิรัก
ชาวเติร์กกลุ่มนี้มีผู้นำที่เรียกว่า สุลต่าน (Sultan) มีสุลต่านตูกริล บิน มิกาอิล (Tughril bin Mikail) เป็นผู้นำคนสำคัญ ได้สถาปนาราชวงศ์ขึ้นปกครองพร้อมทั้งขยายอาณาเขตออกไปอีกเรื่อยๆ และยังมีความคิดที่จะบุกโจมตีชาวคริสต์จนเกิดเป็นสงครามระหว่างสองศาสนา หรือสงครามครูเสดขึ้นในที่สุด
สุสานของสุลต่านตูกริล ตั้งอยู่ในประเทศอิหร่าน (ภาพจาก wikipedia)
ความจริงสงครามครูเสดหรือสงครามศาสนานั้นเริ่มต้นขึ้นก่อนหน้าศตวรรษที่ ๑๑ มานานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขยายวงกว้างมากนัก เหตุผลในการทำสงครามมักจะเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อทางศาสนา แต่โดยส่วนลึกแล้วก็ยังคงมีเรื่องของการเมืองและการขยายดินแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง กองทัพมุสลิมนั้นเกรียงไกรและอาจหาญถึงขั้นที่พยายามบุกยึดยุโรปให้ได้ ในบางยุคพวกเขาสามารถบุกเข้าครอบครองดินแดนบางส่วนของสเปนได้ด้วย แต่ต่อมาก็ถูกกองทัพครสิตจักรยึดเอาคืนได้อีกเช่นกัน ส่วนทางฝ่ายคริสต์ อาณาจักรไบเซนไทน์ที่มักจะตกเป็นเป้าโจมตีอยู่เนืองๆ ก้เริ่มเอาคืนบ้าง ด้วยการยกทัพบุกเข้ายึดซีเรียได้เหมือนกัน
การผลัดกันรุกและรับของทั้งสองฝ่ายมีมาต่อเนื่องยาวนาน จนถึงในสมัยของสุลต่านอัลฮาคิม ที่เข้าถลุงนครเยรูซาเล็มอย่างไม่มีชิ้นดี นัยว่าทำลายทุกสิ่งที่เป็นคริสต์ให้หมด แต่พอปี ๑๐๒๗ จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๓ ก็ยึดเอาเยรูซาเล็มคืนมาได้อีก และบูรณะความเป็นคริสตจักรให้รุ่งเรืองอีกหน
เหตุผลหนึ่งในเรื่องความเชื่อทางศาสนาของฝ่ายคริสต์นั้น พวกเขาเชื่อว่าการปกป้องดินแดนของชาวคริสต์ถือเป็นพันธกิจที่สำคัญ เดิมทีนั้นแผ่นดินยุโรปภายหลังการสูญสิ้นของอาณาจักรโรม ได้เกิดการแย่งชิงพื้นที่กันของบรรดาชนเผ่าพื้นเมือง ต่างฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ในการครอบครองดินแดน รวมถึงลัทธิความเชื่อตามแต่ละเผ่าพันธุ์ จนกระทั่งศาสนจักรได้ก่อตั้งขึ้นจึงได้รวบรวมและเผยแผ่คำสอนของตนจนทำให้คนเถื่อนเหล่านั้นกลายเป็นชาวคริสต์ เท่ากับว่าเป็นการแสดงความเป็นพวกเดียวกัน การปกป้องดินแดนรวมทั้งพลเมืองเหล่านี้จึงถือเป็นภาระกิจของศาสนจักรเช่นกัน
จะว่าไปแล้วถ้ามองในมุมมองทางการเมือง มันก็คือการอ้างสิทธิ์ในการครอบครองนั่นล่ะ หากศาสนจักรมองว่ากำลังจะสูญเสียดินแดน (รวมถึงมวลชน) จากการรุกรานของมุสิลม เมื่อครั้งที่พวกเขาเข้ายึดครองดินแดนส่วนนี้ก็ได้มาด้วยวิธีการเดียวกันมิใช่หรือ จริงหรือไม่ที่บางดินแดนที่ได้มา ก็มาจากการทำสงครามหรือการใช้กำลังเข้ายึดครองโดยอ้างเรื่องของศาสนาและการสร้างความศิวิไลซ์ และมองว่าเจ้าของดินแดนเดิม คือพวกคนเถื่อนจากการเอาตนเองเป็นตัวตั้ง ต้องไม่ลืมว่าในสมัยนั้นยังไม่มี ชาติ หรือ ประเทศ เกิดขึ้น ศาสนจักรจึงฉวยโอกาสใช้ความเชื่อเป็นตาข่ายดักเพื่อครอบครองดินแดนทั้งหมด
ดังนั้นการใช้กำลังเข้ายึดครองของฝ่ายมุสลิมจึงเป็นเสมือนวัฏจักรที่ฝ่ายคริสต์ต้องยอมรับ และก็ต้องต่อสู้กันต่อไป ใครเข้มแข็งกว่าก็ควรได้สิทธิ์ครอบครองอันชอบธรรมไปตามวิถีของสังคมในยุคโบราณ
หากต้องการอ่านบทความชุด “สงครามครูเสด” เพิ่มเติม โปรดคลิกที่ Categories หรือ tags ด้านบน