ภายหลังการเสียกรุงครั้งที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความเป็นเอกราชีกครั้งหนึ่ง ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ ภายหลังจากเสร็จศึกกับอริราชศัตรู ทรงมีพระราชดำริที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองในทุกๆ ด้านให้มีความเจริญมั่งคั่งเหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา มีการอัญเชิญพระไตรปิฎกจากนครศรีธรรมราชมาทำการคัดลอกเก็บรักษาไว้ ณ กรุงธนบุรี นอกจากนี้ยังมีการนิมนต์พระเถระจำนวนมากมาชุนุมกันที่วัดระฆังโฆษิตาราม เพื่อทำการชำระพระพุทธศาสนาและพระไตรปิฎกที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ให้มารวบรวมจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ในกรุงธนบุรี
ถึงแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีแห่งใหม่ ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามไว้ภายในพระบรมมหาราชวัง ตามแบบอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอพระมณเฑียรธรรม ขึ้นเพื่อใช้เป็นอาคารจัดเก็บพระไตรปิฎก จึงอาจนับได้ว่า หอพระมณเฑียรธรรมหลังนี้เป็นห้องสมุดแห่งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ (หอพระมณเฑียรธรรมนี้ต่อมาถูกเพลิงไหม้เสียหายอย่างหนัก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท จึงโปรดเกล้าฯ สร้างถวายอีกหลังหนึ่ง ภายในบริเวณพระบรมมหาราชวังเช่นเดิม)
บันทึกตำราแพทย์โบราณบริเวณผนังรอบศาลารายในวัดโพธิ์
รูปปั้นฤาษีดัดตนมีให้เห็นทั่วไปในวัดโพธิ์
ปี พ.ศ. ๒๓๓๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงโปรดเกล้า ให้ทำการปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม ที่อยู่ติดกันกับพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (อันหมายถึงวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างหรือทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์) แต่ชาวบ้านยังคงเรียกกันติดปากว่า วัดโพธิ์ การปฏิสังขรณ์ในครั้งนั้นนอกจากจะทรงสร้างอาคารและถาวรวัตถุต่างๆ ถวายเพื่อเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแล้วยังทรงสร้างศาลารายรอบบริเวณวัด และนำแผ่นศิลาบันทึกสรรพวิชาความรู้ทางตำราโบราณ ตำรายา การแพทย์ ติดไว้จามศาลาราย ระเบียง และสร้างรูปปั้นฤาษีดัดตน อันเป็นกระบวนท่าในการนวดแผนโบราณประดับไว้รอบวัด เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ผู้คนทั่วไปที่สนใจศึกษาตำราโบราณเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เอง วัดโพธิ หรือวัดพระเชตุพนฯ จึงได้รับการยกย่องให้เป็น ห้องสมุดประชาชนแห่งแรกของประเทศไทย
สำหรับข้อมูลความรู้ที่ถูกบรรจุไว้ภายในบริเวณวัดพระเชตุพนฯ สามารถจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ได้ถึง ๘ ประเภท ได้แก่
๑. หมวดประวัติศาสตร์ ว่าด้วยจารึกประวัติการสร้างวัดพระเชตุพนฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ
๒. หมวดพระพุทธศาสนา ว่าด้วยประวัติพระสาวกเอตทัคคะ (หมายถึง ถึงผู้ประเสริฐสุดในทางใดทางหนึ่ง) จำนวน ๔๑ เรื่อง
๓. หมวดตำรายา ว่าด้วยตำรายาต่างๆ ติดไว้ตามศาลารายล้อมหมู่พระเจดีย์
๔. หมวดวรรณกรรม ประกอบไปด้วยศิลาจารึกเพลงยาวกลบท ฉันท์วรรณพฤติ ตำราโคลง รวมทั้งภาพเขียนในวรรณคดี
๕. หมวดสุภาษิต เช่น จารึกสุภาษิตพระร่วง ฉันท์กฤษณาสอนน้อง
๖. หมวดทำเนียบ มีรูปหล่อบุคคลเชื้อชาติต่างๆ พร้อมแผ่นศิลาจารึกแสดงบอกไว้ตามเฉลียง
๗. หมวดประเพณี มีภาพเขียนกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราทางสถลมารค
๘. หมวดอนามัย มีภาพเขียนและรูปหล่อแสดงการนวด เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าให้จัดสร้าง หอพระสมุดวชิรญาณ เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามที่ปรากฏในเอกสารข้อบังคับสำหรับหอสมุด มีความตอนหนึ่งว่า
“…แลการหนังสือก็เปนของโปรดในพระอัธยาไศรยในพระบาทสมเด้จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปนอันมาก ควรที่พวกเราทั้งหลาย ซึ่งได้เงินรายนี้จะยินดีช่วยกันจัดการให้ห้องหนังสือซึ่งเปนของมีคุณแลชอบพระราชอัธยาไศรยในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นได้ตั้งขึ้นเปนประโยชน์ชื่อเสียงดังที่กล่าวมาแล้ว คือตั้งเปน ไลบารี หรือห้องหนังสือ …”
หอพระสมุดวชิรญาณ
หอพระสมุดวชิรญาณแห่งนี้จัดเป็นห้องสมุดของประเทศไทยแห่งแรกที่มีการจัดการตามแบบอย่างของสากล คือมีคณะทำงานหรือ เจ้าพนักงานหอพระสมุด เรียกว่า กรรมสัมปาทิสภา มีระบบสมาชิก มีเงินทุนสนับสนุน มีกฎระเบียบต่างๆ ตามหลักการสากลของห้องสมุด เป็นต้น
ปี พ.ศ. ๒๔๔๘ เนื่องในวโรกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ จัดตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ เป็น หอพระสมุดสำหรับพระนคร เพื่อ “ให้หอพระสมุดวชิรญาณเปนหอหลวงสำหรับแผ่นดินสืบไป” ตามพระบรมราชโองการจัดตั้ง เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๔๔๘
ในยุคแรกนั้น หอพระสมุดวชิรญาณ จัดแบ่งเอกสารออกเป็นสามหมวด คือ หมวดพระพุทธศาสนา หมวดหนังสือไทย และหมวดหนังสือภาษาต่างประเทศ ดำเนินกิจการเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่าหอพระสมุดนี้ตั้งอยู่บริเวณพระบรมมหาราชวัง ประตูพิมานชัยศรี เห็นว่าไม่เหมาะสมและเล็กเกินไปสำหรับหอสมุดสำหรับพระนคร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างอาคารริมถนนหน้าพระธาตุ เพื่อให้สง่างามสมเป็นสถานที่ราชการสำคัญของประเทศ
อาคารหอพระสมุดเดิมบริเวณถนนหน้าพระธาตุ
มาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือในห้องสมุดส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ให้แก่หอสมุดฯ ทำให้อาคารหอสมุดฯ ต้องรองรับหนังสือและเอกสารจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม จึงโปรดเกล้าฯ ให้แยกหอพระสมุดสำหรับพระนครออกเป็นสองส่วน คือ หอพระสมุดวชิรญาณ สำหรับเก็บรักษาพระคัมภีร์ จดหมายเหตุ บันทึกลายมือ เอกสารโบราณ รวมทั้งศิลาจารึก อีกแห่งหนึ่งคือ หอพระสมุดวชิราวุธ สำหรับเก็บรักษาหนังสือตัวพิมพ์อื่นๆ โดยให้ขึ้นกับ ราชบัณฑิตยสภา
ต่อมามีการจัดตั้ง กรมศิลปากร ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ และโอนงานราชบัณฑิตยสภามาเป็นของกรมศิลปากร หอพระสมุดฯ จึงมีฐานะเป็นกอง เรียกว่า กองหอสมุด และเปลี่ยนชื่อจากหอพระสมุดสำหรับพระนคร เป็น หอสมุดแห่งชาติ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติขึ้นใหม่ บริเวณท่าวาสุกรี เพื่อขยายพื้นที่ดำเนินการและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักสากล โดยเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๙ และดำเนินกิจการสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อาคารหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน บริเวณท่าวาสุกรี
สำหรับห้องสมุดที่สำคัญๆ ของประเทศไทยที่ควรจะกล่าวถึงไว้ อาทิ หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันใช้ชื่อ สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อแรกตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๕๓ หลังจากที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือนได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องสมุดโรงเรียนข้าราชการพลเรือนจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยตั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๑ จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นสถาบันวิทยบริการและยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ในระดับห้องสมุดโรงเรียนนั้น เท่าที่มีการบันทึกไว้เชื่อได้ว่า ห้องสมุดโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จัดเป็นห้องสมุดโรงเรียนแห่งแรกของประเทศไทย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ ตั้งอยู่บริเวณพระตำหนักสวนกุหลาบ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ย้ายที่ทำการมายังบริเวณถนนตรีเพชร ฝั่งตรงข้ามวัดราชบูรณะ ซึ่งพบไว้ว่าได้มีการจัดตั้งห้องสมุดขึ้นแล้วแต่ไม่มีการบันทึกวันเวลาที่แน่นอน เดิมทีนั้นห้องสมุดตั้งอยู่บริเวณชั้นสองของอาคารสวนกุหลาบ (ตึกยาว) ต่อมาอาคารได้ทรุดตัวตามอายุการใช้งาน จึงได้ย้ายห้องสมุดมายังอาคารศาลาพระเสด็จและคงดำเนินกิจการสืบมาจนถึงปัจจุบัน
นับแต่อดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ห้องสมุด นับเป็นแหล่งศึกษาสรรพวิทยาการความรู้ที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ มีการพัฒนาและต่อยอดเรื่อยมาเพื่อให้สอดคล้องกับวิทยาการที่ทันสมัยของโลก ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการจัดการงานเทคนิคต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศที่หลากหลายได้ถูกนำมาใช้ในการจัดการและให้บริการแก่ผู้ใช้ และแม้ว่าโลกยุคดิจิตอลนี้ ข้อมูลข่าวสารได้ไหลเวียนไปในทุกส่วนของสังคม สามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต แต่ห้องสมุดก็ยังคงไว้ซึ่งความสำคัญในฐานะขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นคลังสมองของสังคมอีกตราบนานเท่านาน