การที่ขุดหนังสือเก่ามาขายมีข้อดีคือช่วยให้เห็นหนังสือที่ถูกดองไว้ บางทีก็ลืมไปแล้วว่ามีเล่มนี้อยู่ด้วย ไปเจอหนังสือแปลชื่อ “Joy Luck Club” ซื้อเล่มนี้มาเพราะดูหนังชื่อเดียวกันนี่ล่ะ นานมากตั้งแต่ปี ๑๙๙๓ มีใครเคยดูกันบ้างไหมนี่ ตอนนั้นเข้าฉายอย่างเงียบๆ แล้วก็ออกไปอย่างเงียบๆ
หนังเล่าเรื่องของแม่กับลูกสาวสี่คู่ เป็นหนังสำหรับคุณผู้หญิงจริงๆ เป็นบทสรุปของความแตกต่างทางวัฒนธรรม ฝ่ายแม่ทั้งสี่นั้นดั้นด้นอพยพมาจากเมืองจีนมาตั้งต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา แต่ก็ไม่เคยละทิ้งขนบธรรมเนียมของบ้านเกิด ขณะที่ลูกสาวทั้งสี่เกิดบนแผ่นดินใหม่ กลายเป็นฝรั่งหน้าหมวยที่ใช้ชีวิตแบบตะวันตก พูดฝรั่งปร๋อ แม่ลูกแต่ละคู่มีปมขัดแย้งแตกต่างกัน ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือถือทิฐิ ฝ่ายคุณแม่ก็ยังยึดขนบเดิมๆ การเลี้ยงลูกแบบเดิมตามวิถีชาวตะวันออก ขณะที่ฝ่ายคุณลูกก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้งตามแบบตะวันตกที่คิดว่าชั้นแน่ ชั้นเก่ง แม่จะไปรู้อะไรเรื่องของหนู ทั้งที่ความจริงแล้วแม่ผ่านโลกมาเยอะ เจ็บมาเยอะกว่าตนหลายเท่า และเหนืออื่นใดท่านรักพวกเธอยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก
ถ้าจะให้เล่าก็คงยาวครับ หนังเดินเรื่องด้วยการเปิดใจของแม่ลูกโดยผ่านการเล่าเรื่องชีวิตของแม่ให้เป็นอุทาหรณ์แก่ลูก ซึ่งเล่าผ่านชีวิตของยาย คล้ายกับจะสะท้อนว่าเมื่อก่อนแม่ก็คิดแบบลูกนี่ล่ะ จนเมื่อมองกลับไปถึงแม่ของแม่ ถึงได้เข้าใจ อย่างแอนเหมยแม่ของโรสที่เล่าถึงยายว่ายายถูกไล่ออกจากบ้าน เพราะถูกจับได้ว่าไปมีอะไรกับชายอื่นทั้งที่สามีเพิ่งเสียชีวิต ทั้งที่ความจริงแล้วยายถูกข่มขืนแต่เธอก็เก็บงำความจริงไว้เพื่อรักษาเกียรติของตระกูล เธอยอมไปเป็นเมียน้อยของชายคนนั้น จนเมื่อแม่ของเธอป่วยหนัก ครอบครัวจะยอมให้เธอมาเยี่ยมต่อเมื่อทำตามประเพณี คือบุพการีจะอายุยืนเมื่อได้เลือดของลูก เธอยอมกรีดเลือดให้แม่โดยดี แต่ตราบาปที่ไม่มีใครรู้ความจริงก็ยังตอกย้ำอยู่เสมอ แอนเหมยเชื่อเสมอว่าเพราะแม่อ่อนแอ ไม่สู้คน แต่แท้จริงแล้วแม่สู้มาตลอด สู้เพื่อให้แอนเหมยมีชีวิตที่ดี จนเมื่อแอนเหมยมีโรส เธอจึงไม่อยากให้เหตุการณ์ซ้ำรอย
อีกคู่หนึ่งก็รันทดพอกัน ซูหยวนและจูนลูกสาว จูนรู้จากพ่อหลังจากแม่ตายว่าที่จริงเธอมีพี่สาวฝาแฝดอยู่ที่เมืองจีน ในช่วงสงคราม พ่อกับแม่พรากจากกัน แม่ต้องกระเตงลูกแฝดเดินทางจนตัวเองเป็นโรคร้ายแรง จะแบกลูกต่อก็ไม่ไหว ไหนจะกลัวลูกติดโรค เธอจึงตัดสินใจทิ้งลูกน้อยไว้เผื่อจะโชคดีมีคนใจบุญเก็บไปเลี้ยง โดยทิ้งสมบัติทุกอย่างที่มีไว้กับลูกแฝด เธอโทษตัวเองทุกคืนวันที่รอดชีวิตมาได้ ถ้าเธอตายไปเสียตอนนั้นจะยังดีเสียกว่า เธอได้แต่โทษตัวเองและคิดถึงฝาแฝด จูนจึงเป็นความหวังทั้งชีวิตของเธอ นั่นจึงเป็นเหตุให้แม่เข้มงวดกับจูน เพราะทุกครั้งที่แม่เห็นจูนก็จะนึกถึงฝาแฝดที่ไม่รู้ชะตากรรม
ตัวหนังนั้นบอกได้เลยว่าเรียกน้ำตาได้แน่สำหรับสาวๆ แต่ผมว่าหนังสือนั้นหนักกว่าหลายเท่า ผมชอบในบทนำของหนังสือที่บรรยายความรู้สึกของแม่ได้อย่างชัดเจน
“แม่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเริ่มชีวิตใหม่บนแผ่นดินใหม่ โดยหอบหิ้วหงส์มาด้วย มันเป็นสัญลักษณ์ว่าลูกของเธอจะเป็นเหมือนหงส์ จะไม่มีใครดูถูก จะพูดภาษาอังกฤษชัดเป๊ะ จะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าแม่ แต่พอเข้าเมืองกลับถูกเจ้าหน้าที่ยึดหงส์ตัวนั้นไป หล่อนคว้าไว้ได้เพียงขนอันเดียว แต่นั่นคือสิ่งที่หล่อนจะมอบให้ลูก ขนหงส์อาจดูไม่มีค่าอะไร แต่มันมาจากดินแดนอันไกลโพ้นและเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจดีของแม่ให้แก่ลูก”
รายละเอียดของเรื่องนั้นแน่นมากครับ นอกจากบทดราม่าแล้วมันยังแฝงไปด้วยความขัดแย้งทางทัศนคติของคนสองรุ่น ที่เติบโตมาคนละวัฒนธรรม ผมว่าแม่ลูกทั้งสี่คู่โชคดีมากที่ไม่ได้อยู่ในยุคนี้ที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ท้ายที่สุดไม่มีหนทางไหนดีไปกว่าการหันหน้ามาคุยกัน สายสัมพันธ์ยังไงก็ตัดไม่ขาดครับ ยิ่งคนเป็นพ่อเป็นแม่ด้วยแล้ว พวกท่านพร้อมสละกระทั่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจอะไรเลย ถ้ามันจะทำให้ลูกมีความสุข เหมือนหนังจะตอกย้ำว่า จนเมื่อเธอเหล่านั้นเป็นแม่นั่นแหละ เธอก็จะเข้าใจ