พอพูดถึง เกอิชา หลายคนยังนึกถึงว่าพวกเธอต้องขายบริการด้วย อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดและหลบหลู่เกียรติของเกอิชาขนานแท้อย่างมาก แน่ล่ะว่ามันก็คงมีเกอิชาแหกคอกบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเกอิชาแบบแท้จริงล่ะก็ เรื่องเหล่านี้จะไม่มีเด็ดขาด
เกอิชา มาจากสองคำคือ เกอิ แปลว่า ศิลปะ กับคำว่า ชา แปลว่า มนุษย์ ก็คงมีความหมายประมาณ ศิลปิน นั่นล่ะ ประวัติศาสตร๘องเกอิชาเริ่มต้นราวต้นศตวรรษที่ 17 ช่วงนั้นญี่ปุ่นยังไม่ได้รวมเป็นประเทศ แต่ยังแยกกันเป็นแคว้นต่างๆ เกอิชาคนแรกอาจเป็นผู้ชาย! ทำหน้าที่ให้ความบันเทิงในสถานเริงรมย์ที่มีการขายบริการทางเพศ เทียบแล้วก็คงประมาณตลกคาเฟ่ก็อาจจะได้ พวกเขาจะแสดงตลกหรือไม่ก็ร้องเพลง ร่ายรำ เพื่อเพิ่มบรรยากาศภายในร้าน
อีกร้อยกว่าปีต่อมาราว ค.ศ.1750 ถึงเริ่มมีเกอิชาหญิง บรรดาโสเภณีนั้นทำน้าที่ขายบริการอย่างเดียวแต่ขาดทักษะด้านศิลปะ เข้าใจว่าในที่นี้อาจหมายถึงลูกค้าในระดับที่เป็นชนชั้นกลางไปถึงชนชั้นสูง ที่ต้องการมากกว่าเสพกาม แต่ต้องการความบันเทิงในรูปแบบอื่น เช่นการแสดงศิลปะ ร่ายรำ ร้องเพลง หรือไม่ก็เป็นเพื่อนคุยสนุกสนานเฮฮา คล้ายๆ เด็กนั่งดริงก์ในยุคนี้ ซึ่งเกอิชาจะสนองความต้องการเหล่านี้ได้ เกอิชาจึงกลายเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่ถ้าใครอยากโจ๊ะก็ไปหาโสเภณี ทีนี้เกิดปัญหาว่าลูกค้ากลับสนุกสนานกับเกอิชามากกว่า และต่อมาเกอิชาบางคนก็ดันรับจ๊อบเสียอีก เลยเกิดความโกลาหลขึ้น จึงมีกฎหมายออกมาว่าห้ามเกอิชาค้าประเวณี
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Memories of a Geisha
ปลายศตวรรษที่ 18 เกอิชาเริ่มมีการวางแบบแผนอย่างจริงจัง เป็นระบบระเบียบมากขึ้น จนมีการยกย่องว่าพวกเธอคือผู้ฝึกฝนศิลปะเพื่อความบันเทิง หรือจะว่าง่ายๆ ก็คือเป็นผู้สืบทอดศิลปะหลากหลายแขนงนั่นเอง แต่การเป็นเกอิชานั้นไม่ใช่ว่าจู่ๆ จะเป็นก็เป็นเลย ต้องมีการฝึกฝนเรียนรู้กันเป็นปีๆ เด็กสาวหลายคนท้อเสียก่อนจะได้เป็นเสียอีก
คนญี่ปุ่นเป็นประเภทที่ทำอะไรจริงจัง อย่างในการ์ตูนที่เราเคยอ่าน กว่าพระเอกจะยืนปั้นซูชิได้ก็ต้องลำบากโดนเคี่ยวเข็ญเป็นสิบๆ ปี ต้องยอมทนลำบากถูกกลั่นแกล้ง ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย แต่สุดท้ายปลายทางเค้าก็ทำสำเร็จ โอววว…ดราม่าจริงๆ แต่เรื่องจริงๆ ก็เป็นอย่างนั้นนะครับ อันนี้ต้องบอกก่อนว่าหมายถึงร้านที่ยังคงแบบแผนดั้งเดิมไว้ เพราะสมัยนี้หลายอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลง โลกหมุนไวมากขึ้น อะไรๆ ก็เริ่มสำเร็จรูปมากขึ้นนั่นเอง
พอเริ่มต้นศตวรรษที่ 19 เกอิชาก็เหลือแต่ผู้หญิงเท่านั้น เกอิชาบางคนทำงานใกล้ชิดหรืออยู่ภายในแหล่งเริงรมย์ กฎในการห้ามเกอิชาค้าประเวณียังคงมีอยู่ แต่ก็มีลูกค้าบางรายหน้ามืดกะฟันเกอิชา การแยกพวกเธอทั้งสองกลุ่มนั้นง่ายมาก โดยดูจากการแต่งกาย กิโมโนของเกอิชาจะมีโอบิ (ผ้าคาดเอว) ที่ปักลวดลายงดงามและมัดเป็นปมไว้ด้านหลัง แน่นอนว่าแต่งเองคงไม่ได้แน่ ต้องมีคนช่วยแต่งตัวให้ ตรงข้ามกับโสเภณีที่จะปัดปมกิโมโนไว้ข้างหน้า ก็เพื่อจะได้ถอดง่ายน่ะสิ ขืนชักช้าเวลารับแขกก็เสียงานกันพอดี พอมัดปมไว้ข้างหน้าก็แต่งตัวเองได้สะดวก ทีนี้จะถกเข้าถอดออกก็ไม่ลำบากละ
เข้าสู่ยุคเมจิ (ช่วงรอยต่อระหว่างปลายศตวรรษที่ 19-20) วงการเกอิชาบูมสุดขีด สำนักเกอิชาเปิดกันให้พรึ่บ เกอิชาถูกยกฐานะให้เป็นชนชั้นเกือบๆ จะไฮโซของสังคม หรือไม่ใช่ก็ใกล้เคียง พวกเธอเป็นผู้นำแฟชั่น หัวสมัยใหม่ มีทักษะทางศิลปะติดตัว และมีความรู้ อาจเพราะเกอิชาต้องทำหน้าที่รับรองลูกค้าคอยเป็นเพื่อนคุย พวกเธอจึงได้ความรู้จากคุณลูกค้านี่เอง เป็นวิธีการเปิดโลกทัศน์ที่พวกเธอไม่ต้องลงทุนเลย หลายหนที่ลูกค้าเป็นคนสูงศักดิ์ บ้างเป็นนายทหาร เป็นพ่อค้า เป็นเศรษฐี พวกเธอจึงรับรู้ข่าวสารต่างๆ ทั้งหมด แต่ก็มีกฎเหล็กว่าเกอิชาจะต้องไม่นำข้อมูลของลูกค้าไปแพร่งพราย แต่บางครั้งก็มีข้อยกเว้น ช่วงการปฏิวัติเมจิ (ผลัดเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองและการทหาร จากยุคโทกุกาว่ามาเป็นยุคเมจิ) คุณเกอิชามีส่วนอย่างมากในการเก็บงำข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นเมื่อการปฏิวัติสำเร็จ พวกเธอจงได้รับการยกย่องกะเขาด้วยเหมือนกัน
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง Memories of a Geisha
เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ญี่ปุ่น วัฒนธรรมแบบโบราณเริ่มดูล้าสมัย ในยุคที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศใหม่ๆ คนหนุ่มสาวตื่นเต้นไปกับสิ่งใหม่ๆ จากตะวันตก เกอิชาเริ่มเสื่อมความนิยม พวกเธอจึงต้องหาทางปรับตนเองให้เข้ากับยุคสมัยให้ได้ ซึ่งนับเป็นเรื่องยากยิ่ง
เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น เกอิชาไม่มีงาน หลายคนต้องยอมเปลืองตัวหรือไม่ก็ยอมขายตัวเป็นนางบำเรอเพื่อเอาตัวรอด สำนักเกอิชาปิดตัวลงเกือบหมด บางคนก็เลิกอาชีพนี้ กลับบ้านนอกทำไร่ทำนา แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ผันตัวมาขายบริการ โดยเฉพาะการยอมขายบริการให้กองทัพเป็นนางบำเรอให้ทหารต่างชาติ คุณตัวจึงมีเกลื่อนประเทศกลายเป็นยุคทองของคุณตัว แต่เกอิชาใช่ว่าจะหมดไป เกอิชาขนานแท้จึงพยายามยกระดับตัวเองให้ต่างจากคุณตัวหรือเกอิชานอกรีต โดยวาง Positioning เป็นผู้ทำนุบำรุงศิลปะวัฒนธรรมประจำชาติ
ความเข้าใจที่ว่าเกอิชาคือผู้ชายบริการนั้นน่าจะมาจากในช่วงสงครามมากกว่า จริงอยู่ว่าพวกคุณตัวทั้งหลายนั้นมาขายบริการจริงๆ แต่อาจเพราะการแต่งกายที่ฝรั่งมันดูไม่ออก หรือกระทั่งคุณตัวเองที่ดันสมอ้างไปว่าเป็นเกอิชา จึงสร้างความเข้าใจที่ผิดๆ และฝรั่งมันก็เสือกไม่พยายามจะเข้าใจให้ถูกเสียด้วย ผลก็คือเกอิชาในความเข้าใจของคนเกือบทั่วโลกคือหญิงขายบริการ กระทั่งคนไทยเองก็ยังเสือกเชื่อตามไปกะเขาด้วย
ใบปิดภาพยนตร์ Memories of a Geisha
ดังนั้นหน้าที่ของเกอิชาคือการให้ความสำราญกับลูกค้าโดยอาศัยศิลปะการร่ายรำ การขับร้อง เล่นดนตรี พวกเธอจะเป็นเพื่อนคุยกับลูกค้าในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะยามที่ลูกค้ามีความสุขหรือทุกข์ใจ จะว่าไปพวกเธอก็ทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากจิตแพทย์เลยนะเนี่ย และกฎเหล็กที่ยังคงอยู่คือการไม่นอนกับลูกค้าและไม่นำสิ่งที่ได้ยินไปแพร่งพรายข้างนอก
กว่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะเป็นเกอิชาต้องใช้เวลาฝึกฝนยาวนานเป็นสิบปี ในช่วงที่เธอกำลังฝึกฝนนั้นเราจะเรียกเธอว่า ไมโกะ หรือแปลอีกอย่างว่าเกอิชาฝึกหัด ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี เธอต้องคอยติดตามเกอิชารุ่นพี่ไปร่วมงานต่างๆ ซึ่งบางคนก็จะมีเกอิชารุ่นพี่ที่เป็นพี่เลี้ยงให้ไปจนจบหลักสูตร ประมาณเป็น Mentor ประจำตัว ถ้าเราดูในหนัง Memories of A Geisha บทของ มิเชล โหย่ว คือเกอิชารุ่นพี่ ส่วนบทของ จางจืออี้ ก็คือไมโกะ
เจอมากับตัวเมื่อครั้งไปเกียวโตเมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้ว่าเป็นเกอิชาหรือไมโกะ
ผมเห็นว่าสวยดีจึงถ่ายมาหนึ่งรูป ท่านชายในภาพทำท่าไม่พอใจเล็กน้อย
จุดสำคัญอีกอย่างก็คือหญิงสาวที่จะเป็นเกอิชาต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้น ชาติอื่นหมดสิทธิ์กระทั่งไปร่ำเรียนฝึกฝนก็ยังถูกห้าม แต่กฏก็ยังมีข้อยกเว้น ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีเพียง ลิซ่า ดัลบี้ (Liza Dalby) เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสได้ร่ำเรียนการเป็นเกอิชา ดัลบี้เป็นด็อกเตอร์จาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างจริงจัง ในตอนนั้นเธอกำลังทำวิทยานิพธ์เรื่องเกอิชา และที่น่าสนใจคือเธอไม่ได้เป็นฝ่ายขอมาเรียน แต่เป็นฝ่ายเกอิชาเองที่เชื้อเชิญให้เธอมาเป็นศิษย์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับชาวตะวันตก ปัจจุบันเธอจึงเป็นชาวต่างชาติที่เข้าใจทุกสิ่งอันเกี่ยวกับเกอิชาที่ดีที่สุด