“มนุษย์” เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ร่างกายคนเรามีกลไกอันสลับซับซ้อน ประกอบไปด้วยระบบต่าง ๆ มากมาย หลอมรวมจนกลายเป็นตัวเรา ไม่เพียงแค่ทางกายภาพ แต่เมื่อล้วงลึกลงไปถึงจิตใจ ก็ยิ่งน่าอัศจรรย์มากขึ้นไปอีก
โดยทั่วไปเราต่างยอมรับกันว่ามนุษย์มีประสาทสัมผัสอยู่ ๕ ประการ นั่นคือ การมองเห็น (ตา), การได้ยิน (หู), การดมกลิ่น (จมูก), การรับรส (ลิ้น) และกายสัมผัส (มือ) ซึ่งอาจจะนับรวม “ความรู้สึก” เข้าเป็นสัมผัสที่ ๖ ก็อาจเป็นได้ แล้วถ้าเกิดมีใครที่มีประสาทสัมผัสบางอย่างพิเศษเหนือกว่าคนทั่วไปขึ้นมาล่ะ หากใช้ในทางที่ดีก็ดีไป แล้วถ้าใช้ในทางที่ผิดล่ะ
Perfume : The Story of a Murderer ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมของเยอรมัน Das Parfum ในปี ๑๙๘๕ บทประพันธ์ของ พาทริก ซิสกินด์ (Patrick Suskind) ผลงานชิ้นนี้จัดเป็นวรรณกรรมของเยอรมันที่มีชื่อเสียงอย่างแพร่หลาย ถูกแปลไปแล้วถึง ๒๕ ภาษา มียอดจำหน่ายทั่วโลกมากกว่า ๑๕ ล้านเล่ม ในบ้านเรานั้นตีพิมพ์โดยใช้ชื่อว่า น้ำหอม แปลโดย สีมน
เมื่อแรกเริ่มนั้นหนังเรื่องนี้เกือบจะไม่ได้ถูกนำมาสร้างเสียแล้ว เนื่องจากเจ้าของบทประพันธ์ (ซีสกินด์) หวงนักหวงหนา ไม่ยอมปล่อยลิขสิทธิ์ โดยเขาเชื่อว่างานของเขาไม่น่าจะถูกนำมาสร้างเป็นหนังได้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาตีความผลงานของเขาเสียใหม่ อีกทั้งการนำเสนอ “กลิ่น” ในผลงานของเขา ก็ยากที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์ เพราะหนังมันไม่มีกลิ่นยังไงล่ะ! แต่สุดท้ายซิสกินด์ก็ใจอ่อน ยอมขายลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงบทประพันธ์ให้กับ เบิร์นด์ ไอซิงเกอร์ (Bernd Eichinger) โปรดิวเซอร์มือดีชาวเยอรมัน โดยมอบหมายหน้าที่ผู้กำกับให้แก่ ทอม ทีคแวร์ (Tom Tykwer) เจ้าของผลงานสุดเจ๋ง Run Lola Run ในปี ๑๙๙๘ (ใครที่ยังไม่เคยชม รีบไปหามาชมซะ)
ชื่อเรื่อง Perfume แปลกันโต้ง ๆ ว่าน้ำหอม เป็นอันรู้กันว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเน้นเรื่องราวของ กลิ่น เริ่มเรื่องก็มีกลิ่น (หึ่ง) โชยมาแต่ไกล (ความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การถ่ายทอดกลิ่นให้ผู้ชมได้สัมผัสถึง อารมณ์ต่าง ๆ ทั้งคลื่นเหียน ชวนอ้วก เร่าร้อน รัญจวน เศร้า ร่างเริง ทั้งที่หนังไม่สามารถส่งกลิ่นออกมาได้ แต่ผู้ชมก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล่านั้นผ่านทางภาพ) ทีคแวร์ถ่ายทอดบรรยากาศของฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ ซึ่งไม่ใช่บ้านเมืองที่สวยงาม แต่เขาพุ่งตรงไปที่สะพานปลาแห่งหนึ่ง ภาพโคลสอัพที่ปลาเน่า ๆ กองขยะ คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวปลา ที่นี่เองที่ตัวเอกของเราได้ถือกำเนิดขึ้น
หญิงสาวท้องแก่นางหนึ่งกำลังยืนแล่ปลาอย่างขะมักเขม้น จู่ ๆ เธอก็ปวดท้องจวนคลอด เธอมุดเข้าไปใต้โต๊ะจัดการทำคลอดเอง ตัดสายสะดือเองเสร็จสรรพ แล้วก็โยนลูกที่เพิ่งคลอดออกมาทิ้งไว้กับกองเศษปลาหวังให้ตายๆ ไป จะได้ไม่เป็นภาระ แค่เปิดฉากแรกก็ทำเอาผู้ชมอึ้งไปตามๆ กัน เดชะบุญที่มีคนเห็นเข้า แม่ใจร้ายถูกตัดสินโทษให้ประหารชีวิต ส่วนทารกน้อยถูกส่งไปยังสถานรับเลี้ยงเด็ก
เด็กน้อยเติบโตขึ้นมีชื่อว่า เกรอนุย เขาต่างจากเด็กๆ ทั่วไป พูดน้อย นิ่งขรึม และสิ่งที่พิเศษไปกว่าคนอื่นคือเขามีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่เหนือมนุษย์ ขั้นตอนการพัฒนาการของเด็กในช่วงนี้น่าจะพัฒนาไปพร้อมกันทุกด้าน แต่กับเกรอนุย เขามีความสุขกับการรับกลิ่นต่างๆ รอบตัวอย่างใคร่รู้ กลิ่นต้นไม้ ดอกไม้ สายน้ำ หรือแม้กระทั่งซากหนู นี่คือพรสวรรค์ที่เขาได้รับมาจากพระเจ้าหรืออย่างไร
เกรอนุยที่น่าจะตายตั้งแต่ยังเล็กถูกขายให้กับโรงฟอกหนัง เขาเติบโตขึ้นอย่างไร้จุดหมาย ทำงานแลกข้าวท่ามกลางกลิ่นอันแสนคลื่นเหียนของโรงฟอก จนกระทั่งคืนหนึ่งเกรอนุยได้พบกับหญิงสาวขายลูกพลัมนางหนึ่ง (สวยมาก) เขาไม่ได้หลงใหลในความงามของหญิงสาว แต่กลับหลงใหลในกลิ่นกายของเธอ เกรอนุยตกอยู่ในภวังค์ราวกับชายหนุ่มที่เจอรักแรกพบ เขาเฝ้าตามเธอไปจนถึงบ้าน แต่ก็เกิดเหตุชุลมุนจนเขาพลั้งมือฆ่าเธอ! และนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เกรอนุยได้รู้จักกับความตาย
สื่งที่สร้างความวิตกให้เกรอนุยไม่ใช่ความตายของหญิงสาว แต่เป็นกลิ่นกายของเธอที่จะไม่มีอีกต่อไป เกรอนุยสูดดมกลิ่นกายของเธอราวกับพยายามสูดเอากลิ่นนั้นเข้าไปให้มากที่สุด พยามจดจำกลิ่นนั้นให้มากที่สุด ในที่สุดเกรอนุยก็เปิดปิ๊งแว้บขึ้นมาในฉับพลัน … ใช่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือการเก็บกลิ่นเหล่านี้ไว้ เก็บรักษากลิ่นไว้ให้เป็นนิรันดร์!
เกรอนุยออกเดินทางเพื่อแสวงศาสตร์แห่งการเก็บรักษากลิ่นอันนิรันดร์ ระหว่างทางเขาก็ได้พบกับความจริงอันน่าเศร้าอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาเพิ่งพบว่าตัวเขาไม่มีกลิ่น! … ถึงเราจะเคยได้ยินกันว่า ‘ชื่อนั้นสำคัญไฉน?’ แต่ถามหน่อยว่าถ้าคุณไม่มีชื่อ แล้วคุณคือใคร? ชื่อก็คือสิ่งที่แทนตัวตนของเราๆ ท่านๆ แต่สำหรับเกรอนุยมันไม่ใช่ชื่อ แต่มันคือกลิ่น ฉะนั้นเมื่อตัวเขาเองไม่มีกลิ่น นั่นก็หมายถึงว่าเขาไม่มีตัวตน นั่นยิ่งตอกย้ำถึงชีวิตอันบัดซบของเกรอนุย เพียงแค่ออกจากท้องแม่ไม่กี่นาทีเขาก็ถูกทิ้งอย่างไม่ใยดีเสียแล้ว ขนาดผู้ให้กำเนิดยังไม่เคยอุ้มเขาเลยซักครั้ง เขาถูกโยนไปโยนมาราวกับสิ่งของ ปราศจากความรัก ไม่รู้จักความรัก เหตุนี้เองที่ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของเขาในการรักษากลิ่นให้เป็นนิรันดร์ อย่างน้อยเขาก็สร้างกลิ่นขึ้นมาได้เอง เพื่อทดแทนกลิ่นของตัวเอง
เหยื่อรายแรกสำหรับน้ำหอมมนุษย์ของเกรอนุยเกิดขึ้นที่เมืองกราสนี่เอง เขาเข้าทำงานเป็นคนงานที่โรงงานสกัดหัวน้ำหอมแห่งหนึ่ง ที่นี่เกรอนุยได้ทดลองผลิตหัวน้ำหอมจากมนุษย์เป็นครั้งแรก ฉากที่เขาบรรจงปาดเอาไขมันที่เคลือบตัวเหยื่ออกมาทีละน้อยๆ กล้องจับไปที่สีหน้าแววตาอันแน่วแน่ของเขา ผู้ชมอาจจะเผลอใจเอาใจช่วยเกรอนุยให้ผลิตน้ำหอมมนุษย์ออกมา ทั้งที่มันคือการฆาตกรรมชัดๆ
แล้วเหยื่อรายต่อมาก็เพิ่มขึ้น ๆ สร้างความหวาดหวั่นไปทั้งเมือง แต่เกรอนุยก็ยังคงเดินหน้าสร้างน้ำหอมของเขาต่อไป และทันทีที่หยดสุดท้ายถูกปิดผนึกลงขวด ตำรวจก็สืบตามมาเจอเขาพอดิบพอดี วาระสุดท้ายของเกรอนุยจะเป็นอย่างไร ลองไปหามาชมกันดูนะครับ รับรองได้ว่ามันไม่ได้จบลงแบบงดงามแน่ๆ
ฉากหนึ่งที่พลิกผันความคิดของเกรอนุยคือตอนที่เขากำลังจะถูกประหาร เกรอนุยเอาตัวรอดด้วยการโปรยกลิ่นน้ำหอมวิเศษของเขา ชาวเมืองที่มารวมตัวกันต่างเคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นวิเศษนั้นจนเกิดความรัญจวนขึ้นอย่างประหลาด แล้วชาวเมืองก็จับคู่ร่วมรักกันที่ลานกว้างนั่นเอง! คนทั้งเมืองกำลังแสดงความรักต่อกันผ่านการมีเซ็กซ์ โดยไม่มีใครใส่ใจเกรอนุยที่ยืนอย่างเปล่าเปลี่ยวลำพัง นี่เองที่เขาได้ตระหนักว่าตัวเองก็ยังไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ อยู่เหมือนเดิม แม้จะได้ครอบครองกลิ่นอันวิเศษนั้นแล้วก็ตาม
นึกไปนึกมาว่าทำไมต้องสื่อถึงความรักด้วยฉากเซ็กซ์หมู่นี้ด้วย จนนึกขึ้นได้ว่า การมีเซ็กซ์เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เราได้ใช้ประสาทสัมผัสครบทั้งหมด! เริ่มด้วยสัมผัสอันเป็นนามธรรมคือความรัก แล้วจบลงด้วยความสุข
แม้เกรอนุยจะบรรลุเป้าหมายในการสร้างกลิ่นอันเป็นนิรันดร์ได้แล้ว แต่นั่นก็ทำให้เขาพบกับความจริงอันปวดร้าวว่า ท้ายที่สุดทุกคนก็มองเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ ทุกคนหลงใหลในกลิ่นที่เขาสร้างขึ้น แต่ไม่มีใครสนใจเขาซักคน ถ้าตัวเขาไม่มีกลิ่นอันวิเศษนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากซากปลาที่ผู้คนทิ้งขว้าง เหมือนตอนที่เขาถูกทิ้งให้ตายเมื่อแรกเกิด
เพราะเขาไม่เคยได้รับความรักจากใคร เขาจึงไม่รู้จักที่จะรัก แม้พยายามที่จะรัก มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
great movie!!