ไม่แน่ใจว่ากระทรวงศึกษาฯ ยังใช้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กนักเรียนอยู่หรือไม่ ผมเห็นว่าเป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งทีเดียว เห็นควรให้เด็กๆ รุ่นใหม่ได้อ่านกันบ้าง
ผมคิดว่าเด็กสมัยนี้อ่านหนังสือกันมากกว่าสมัยก่อน จะด้วยกระแสสังคมหรือเพราะมีทางเลือกมากกว่าก็ตามที จำได้ว่าสมัยที่ยังเรียนประถม มัธยมนั้น เพื่อนน้อยคนนักที่จะนิยมการอ่านหนังสือ ไม่ต้องพูดกันถึงหนังสือเรียน เพราะเด็กส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบอ่านกันอยู่แล้ว หลวงท่านก็อุตส่าห์ส่งเสริมด้วยการระบุหนังสือนอกเวลาไว้สำหรับให้นักเรียนได้อ่านกัน ซึ่งจะอ่านเอาเล่นหรืออ่านเอาเรื่องก็ได้ทั้งสิ้น แต่ก็น้อยคนนักที่จะให้ความสำคัญ
“เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก” เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้น (ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังใช้อยู่หรือไม่) เป็นการรวบรวมบทความของ คุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ฯ ซึ่งได้ตีพิมพ์เป็นตอนลงในนิตยสารสตรีสาร ในครั้งนั้นสตรีสารได้จัดทำภาคพิเศษสำหรับเด็กไว้ (ปี พ.ศ. ๒๕๑๕) และได้นำบทความของคุณทิพย์วาณีมาตีพิมพ์ไว้ด้วย และได้รวมเล่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เนื้อหากล่าวถึงบ้านเมืองไทยในช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ จนถึงรัชการที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๖๐-๒๔๗๕) ผ่านตัวละครที่เป็นคุณตาและคุณยายของผู้เขียน ในลักษณะบันทึกเรื่องราวจากคำบอกเล่า ในลักษณะที่ว่า “คุณตา / คุณยาย เล่าให้ฟังว่า…”
ผู้อ่านจะได้ซึมซับถึงวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยก่อน ความรู้สึกนึกคิด คติธรรม ความเชื่อ รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อยที่ดูเหมือนจะค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมไทย เรื่องบางเรื่องหรือของบางอย่างก็หายไปแล้วจากสังคมด้วยซ้ำ อ่านแล้วก็พลอยให้ภูมิใจกับความอุดมสมบูรณ์และความสงบร่มเย็นของบ้านเมืองเรา แล้วก็ให้พลอยสลดใจเมื่อมองดูบ้านเราในปัจจุบันที่แทบจะไม่เหลือเค้าลางของความสุขในอดีต
ในแต่ละตอนผู้เขียนได้หยิบยกประเด็นต่างๆ มานำเสนออย่างน่าสนใจ จับความได้ว่าครอบครัวของคุณตาคุณยายน่าจะเป็นครอบครัวที่มีอันจะกินพอสมควร มีพี่เลี้ยง คนสวน แขกยาม คนรับใช้พรั่งพร้อม อีกทั้งยังมีโอกาสได้เดินทางไปตากอากาศตามหัวเมืองต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องไกลเกินทีเดียวสำหรับชาวบ้านธรรมดา
ความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยก่อนช่างเรียบง่ายและมีความสุขอย่างที่คนสมัยนี้ต้องอิจฉา ของกินของใช้แทบทุกอย่างสามารถหยิบฉวยมาใช้ได้จากธรรมชาติหรือไม่ก็ทำใช้กันเองในครัวเรือน อย่างเช่นในตอน น้ำอบน้ำปรุง หรือน้ำหอมของคนในยุคนั้น ที่แสนจะหอมชื่นใจและปลอดภัยเพราะไร้สารเคมี ไม่เหมือนน้ำหอมฝรั่งที่หนุ่มสาวสมัยนี้ใช้กัน ตอน เรือเมล์เรือโยง ที่เล่าถึงการเดินทางของคนไทยซึ่งอาศัยแม่น้ำเป็นทางสัญจร เรือเมล์แต่ละลำกว่าจะมาก็นานแสนนาน แล่นไปอย่างช้าๆ ไม่รีบเร่ง สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ไม่รีบร้อน ชีวิตที่ยึดติดกับนาฬิกาเหมือนยุคนี้ เดี๋ยวนี้เรือโยงยังมีเห็นอยู่บ้าง ส่วนเรือเมล์ก็กลายมาเป็นเรือด่วนไปเสียแล้ว ตอน รับเลี้ยงสงกรานต์ นี่ยิ่งชวนนึกถึงคำที่เขาว่า แขกมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ ในเรื่องนั้นเล่าว่าคุณตาผ่านไปยังตำบาลหนึ่งที่กำลังฉลองสงกรานต์ ก็ไม่ยอมให้แขกที่ผ่านมาผ่านไปเสียเฉยๆ ต้องเลี้ยงอาหารคาวหวานให้อิ่มหมีกันเสียก่อน นึกแล้วน่าชื่นใจดีแท้
หลายตอนก็เล่าถึงความสมบูรณ์ของบ้านเรา เช่นว่าถ้าบ้านใครอยู่ริมแม่น้ำก็แสนจะโชคดี หากนึกอยากกินกุ้งกินปลาเมื่อใดก็ลงไปงมไปจับได้ทันที เพราะแม่น้ำบ้านเราอุดมสมบูรณ์ อันนี้ผมยังพอจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เคยไปเที่ยวเล่นบ้านคุณอาที่เป็นบ้านสวนในซอยพาณิชย์ธนฯ ฝั่งธนบุรี พวกผู้ใหญ่มักจะลงไปงมเอาหอยโข่งมาแกงกินกัน (บางทีเขาเรียกหอยจุ๊บ เพราะเวลาดูดกินจะเสียงดังจุ๊บๆ ) ได้มาทีเป็นถุงๆ บางทีก็ได้กุ้งมาบ้าง ปลามาบ้าง ช่างสมบูรณ์เหลือเกิน แม่น้ำก็ยังสะอาด เด็กๆ ลงเล่นกันเพลิน จนพวกผู้ใหญ่ดุว่าหนังเหี่ยวตัวซีดแล้วนั่นแหละถึงจะยอมขึ้น ประเดี๋ยวนี้บ้านสวนแบบนั้นแทบจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว กลายเป็นตึกไปหมด
อ่านแล้วเพลินดี อยากให้เด็กๆ ได้อ่าน ผู้ใหญ่ก็อ่านได้ จะได้รับรู้เรื่องราวย้อนอดีต ถวิลหาความหลังครั้งเยาว์วัย ความสุขใจเมื่อครั้งก่อนที่หาไม่ได้ในยุคสมัยนี้ ยุคที่คนคุยกับโทรศัพท์มากกว่าจะคุยกับเพื่อนมนุษย์ ยุคที่พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยเอทีเอ็ม ยุคที่พิมพ์จดหมายไฟฟ้าแทนเขียนจดหมายด้วยลายมือ ยุคที่ถนนมีหลังคา ยุคที่นอนเล่นริมหาดไม่ได้เดี๋ยวโดนฆ่าตาย ยุคที่ตำรวจมีหน้าที่ดูแลนักการเมืองแทนที่จะเป็นประชาชน ยุคที่ผู้คนอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อดูข่าวว่าดาราคู่ไหนเลิกกะกัน…เฮ้อ น่ารันทดแท้