อ่านเพิ่มเติมได้ที่ “ผีซ่าส์กับฮานาดะ…วิญญาณที่ไม่ยอมปล่อยวาง”
“ผีซ่าส์ กับ ฮานาดะ” การ์ตูนสนุกๆ แต่ซึ้งมากๆ เรื่องราวของเด็กแสบประจำหมู่บ้าน ฮานาดะ อิจิโร่ ที่ดันทะลึ่งมองเห็นผี เลยต้องเป็นธุระจัดการสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจของบรรดาผีๆ ทั้งหลาย แล้วเด็กอย่างอิจิโร่ก็ต้องเผชิญกับเรื่องราวยากๆ ที่เกินกว่าเด็กอย่างเขาจะเข้าใจได้ สิ่งหนึ่งที่เด็กอย่างอิจิโร่ต้องพบพานนั่นคือ “ความตาย” ทั้งที่ตามปกติเด็กๆ กับความตายเป็นเรื่องที่เป็นเหมือนเส้นขนาน เด็กไม่รู้จักเรื่องของความตายว่ามันคืออะไร เขาอาจคิดว่านั่นเป็นเพียงการนอนหลับ เดี๋ยวก็จะตื่นขึ้นมาเล่นกะเขาได้ต่อ
ทาคาฮิโร่ เด็กชายที่ปฏิเสธคริสต์มาสเพราะมันคือวันที่พ่อเขาจากไปตลอดกาล บ้านของทาคาฮิโร่เป็นร้านขายโซบะเล็กๆ ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ตามประสาเด็กๆ ที่หวังว่าในคืนวันคริสต์มาส ซานต้าจะเอาของขวัญมาให้ เขาฝันอยากจะได้ถุงมือเบสบอล แต่ทุกๆ ปี ก็จะได้แต่อะไรเล็กๆ น้อยๆ ราคาถูกๆ ทาคาฮิโร่ก็เข้าใจดีว่าบ้านเขายากจน ถุงมือเบสบอลราคาแพงๆ นั่นคงเป็นเรื่องไกลตัว ความใฝ่ฝันอีกอยากนึงคือการได้เล่นโยนบอลกับพ่อของเขา นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีก เพราะพ่อเขาต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงิน
ก่อนวันคริสต์มาส ทาคาฮิโร่ ต้องอยู่เฝ้าร้านคนเดียว ทั้งที่วันนั้นเชามีนัดแข่งเบสบอลที่โรงเรียน แต่เด็กดีอย่างเขาก็เลือกที่จะอยู่เฝ้าร้าน อนิจจาวันนั้นร้านไม่มีลูกค้าเลย ทาคาฮิโร่ ได้แต่คิดตามประสาเด็กว่า รู้งี้ไปแข่งเบสบอลดีกว่า เมื่อพ่อกลับมาและยังบอกให้เขาไปเล่นเบสบอลซะอีก ความอดทนของเขาก็หมดลง เขาตะโกนใส่หน้าพ่อว่า “พ่อจะไปรู้อะไรเรื่องเบสบอล ผมเกลียดพ่อที่สุด…” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ทาคาฮิโร่ได้พูดกับพ่อ
ปีถัดมาเจ้าอิจิโร่ตัวแสบถูกไหว้วานจากลุงคนหนึ่งให้เอาของขวัญไปให้ลูกชาย เด็กคนที่ว่าก็คือ ทาคาฮิโร่ ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะรับแม้ว่าอิจิโร่จะตื้อสักเท่าไหร่ก็ตาม
“โกหก … พ่อจะเอาของขวัญมาให้ได้ยังไง พ่อชั้นตายไปแล้วนี่นา”
“…ว่าแล้วเชียว ตาลุงนั่นเป็นผีนี่นา”
ความจริงที่น่าเศร้า พ่อของทาคาฮิโร่ซื้อถุงมือเบสบอลให้เขา น่าเสียดายที่ในคืนวันคริสต์มาสนั้นเองที่พ่อเขาเสียชีวิตที่สะพานข้ามแม่น้ำ … ทาคาฮิโร่จึงปฏิเสธวันคริสต์มาสและโทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้พ่อตาย จนเมื่อรู้ความจริง ทาคาฮิโร่ก็ได้พบ (วิญญาณ) พ่อและปลดปล่อยความในใจออกมา
“ถุงมือเบสบอลบ้าอะไรนี่ ชั้นอยากได้มันมาตลอด แต่ตอนนี้ชั้นไม่ต้องการมันแล้ว ชั้นอยากได้พ่อกลับมา…”
ตอนที่ว่านี้เป็นตอนท้ายๆ ของการ์ตูนเรื่องนี้ ซึ่งหลายตอนก่อนหน้านี้ อิจิโร่ได้พบกับเรื่องราวหลังความตาย การพลัดพราก การทำผิดพลาดในชีวิต หลายๆ เรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องของความตายอย่างที่ว่า หากท่านมีโอกาสได้อ่านหรือชมการ์ตูนเรื่องนี้ จะได้เห็นพัฒนาการของอิจิโร่ตั้งแต่ต้นจนจบ จากเด็กแก่นๆ ที่วันๆ เอาแต่เล่นซน เมื่อมองเห็นผีได้ อิจิโร่ก็เริ่มแสดงให้เห็นเบื้องลึกของจิตใจที่ใฝ่ดี ธาตุแท้ของเขาคือเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยน ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น และเห็นใจผู้อื่นเสมอ บางครั้งความคิดแบบเด็กๆ ของเขาที่มีต่อชีวิตอาจจะเข้าท่ากว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก
“ปัดโธ่เอ้ย อีตอนมีชีวิตอยู่ทำไมไม่ทำให้มันดีๆ เล่า เป็นผีแล้วยังมาทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก”
ช่วงท้ายๆ ของการ์ตูนเราจะเห็นได้ชัดว่าอิจิโร่คลายความเฮี้ยวลงไปเยอะ หลายตอนที่เขานิ่งขรึมและไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้ทำไป อย่างน้อยเขาก็ยอมก้มหัวขอโทษเพื่อนที่ไม่ยอมไปแข่งเบสบอลตามนัดจนทำให้ทีมแพ้ (ซึ่งตามปรกติอย่าได้หวังว่าอิจิโร่จะก้มหัวให้ใคร) หรือตอนท้ายที่รู้ทั้งรู้ว่ารินโกะเป็นผี แต่อิจิโร่ก็พยาายามช่วยเหลือทั้งที่หลวงพ่อเตือนแล้วเตือนอีก
“เลิกยุ่งกะเด็กคนนั้นได้แล้ว เด็กคนนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ แกอาจจะตายได้นะอิจิโร่คุง”
“อย่ามายุ่งน่า เจ้านักบวชงี่เง่า”
แม้จะต้องอดนอนออกมาแบกพระพุทธรูปหินขึ้นจากหน้าผาทุกคืนๆ จนหมดเรี่ยวหมดแรง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิจิโร่ทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้ ทั้งที่เขาเองจะทำไม่รู้ไม่ชี้เสียก็ได้ แต่ทุกครั้งที่มีผีมาขอร้องให้ช่วย อิจิโร่ก็จะทำอย่างเต็มความสามารถเสมอ (แม้จะมีความกลัวผีเป็นแรงกระตุ้นก็ตาม) อิจิโร่เข้าใจเรื่องความตายทั้งที่เขาเพิ่งอยู่ ป.๔ คิดไปก็น่าสงสารอิจิโร่ที่วัยเด็กของเขาถูกตัดให้สั้นลงอย่างรวดเร็ว วัยเด็กที่ไม่ต้องคิดอะไร คิดแต่เพียงเรื่องของตัวเอง ชีวิตที่มีแต่เรียน (บ้าง) กับเล่นซน กลับต้องมาเป็นธุระกับเรื่องของคน (ผี) อื่นๆ ต้องมานั่งฟังเรื่องราวเศร้าๆ ของคน (ผี) อื่น โลกของเด็ก ป.๔ ที่น่าจะได้สนุกสนานกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันได้เลือนหายไปในวันที่เขาสามารถติดต่อกับพวกผีๆ ได้ มันก็ได้แง่คิดเหมือนกันว่าคนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ก็ควรทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าให้ชีวิตหลังความตายของเราต้องกลายเป็นภาระของคนที่ยังอยู่ และบางครั้งเรื่องบางเรื่องก็เกินกว่าจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ การปล่อยวางคือหนทางสุดท้าย
มองในด้านดีหน่อย อย่างน้อยอิจิโร่ก็ได้เห็นถึงความสำคัญของการมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ