วันนี้จะพาไปชมพิพิธภัณฑ์เล็กๆ คราวนี้เล็กจริงๆ เพราะมีขนาดไม่กี่ตารางเมตร เป็นบ้านทรงโบราณของเกาหลี ชั้นเดียว ผมว่าคอนโดบางที่อาจจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป
ใกล้ๆ กับพระราชวังเคียงบก ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าอะไรดี เขต หรือหมู่บ้าน หรือจะอะไรก็ตามแต่ แต่เขาเรียกพื้นที่แถวนั้นว่า บุกชอง (Bukchon) บริเวณนี้เรียกได้ว่าเป็นเขตศิลปวัฒนธรรมของเกาหลีเลยก็ว่าได้ ทั้งที่อยู่ในเมืองหลวงแต่บรรยากาศกลับเงียบสงบ ถ้าท่านที่เคยไปกรุงโซลคงพอจะนึกออก แถวๆ พระราชวังเคียงบกค่อนข้างจะอึกทึกพอดู มีตึกสูงๆ อยู่รายล้อม แต่พอเลี้ยวเข้ามาในถนนเลียบพระราชวัง กลับพบว่ามีบรรยากาศที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ผมไม่ได้บอกว่ามันมีแต่บ้านเก่าๆ หรอกนะครับ ยังคงมีตึกทันสมัยอยู่ แต่กลิ่นอายและบรรยากาศโดยรวมมันออกแนวบ้านๆ ยังไงพิกล
เดินขึ้นเนินมาในซอยเล็กๆ นี่แหละครับ บ้านเรือนแถวนั้นจะเป็นสไตล์นี้เกือบหมด
มีป้ายน่ารักๆ เตือนเอาไว้ ประมาณว่า แถวนี้เป็นบ้านคนนะเว้ย อย่าส่งเสียงรบกวน
บริเวณ Bukchon นี่ค่อนข้างกว้างนะครับตามความคิดผม ก็เดินจนปวดขาเลยน่ะคิดดู ผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือไม่ แต่ดูตามแผนที่แล้วมันจะอยู่ระหว่างพระราชวังเคียงบกและพระราชวังซางด็อก (มันอาจจะเป็นคนละเขตกันก็ได้ แต่ดันมาอยู่ติดกัน…มั้ง) เอาเป็นว่าตรงกลางระหว่างสองวังนี่แหละที่ผมว่ามันช่างน่าเที่ยวเสียเหลือเกิน
ถ้าจะไปให้สะดวกสุดแนะนำให้ลงที่สถานี Anguk สายสีส้ม ผมว่าเป็นสถานีที่ตกแต่งได้อารมณ์ดีเหลือเกิน สถานีรถไฟที่นี่เขาก็แปลกนะครับ บางสถานีใหญ่ๆ อย่าง Anguk Gyeongbokgung หรือ City Hall เขาจะตกแต่งภายในไม่เหมือนกัน อย่าง สถานี Gyeongbokgung ที่ข้างบนมีวังเคียงบกและพิพิธภัณฑ์พระราชวัง เขาก็ตกแต่งออกแนวโบราณ สถานี Anguk ก็ตกแต่งด้วยอิฐแดง เก๋ไปอีกแบบ … พอขึ้นมาก็อาจจะแวะชมวังอึนเฮียนกุงกันก่อนก็ได้ แล้วค่อยตะลอนไป Bukchon
นอกเรื่องไปไกล เอาเป็นว่าเดินมาพอเหนื่อยก็จะเจอพิพิธภัณฑ์ปมเชือก Dong-Lim Knot Museum (동림매듭공방) ไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอนะครับ ถ้าคุณเจอเขต Bukchon แล้วก็ไม่หลงแน่ เพราะเขามีศูนย์นักท่องเที่ยวให้ถาม และตามทางก็จะมีป้ายบอกว่าอีกกี่เมตรๆ จะเจออะไรบ้าง เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเดินเลยมันไปแบบผม ก็เพราะมันกลมกลืนไปกับบ้านเรือนแถวนั้นน่ะสิครับ
นี่แหละครับทางเข้ามิวเซียม ดูเหมือนบ้านคนมากกว่า พื้นที่ก็กว้างเท่าที่เห็นนี่แหละ
ที่หน้าประตูที่ป้ายสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง
แปลความได้ว่าเป็นบ้านที่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอะไรทำนองนั้น
เพราะที่นี่ก่อตั้งและได้รับการสนับสนุนจากสภาเมืองโซล
ทางเข้าเป็นซอยเล็กๆ ดูเหมือนตรอกแคบๆ มีแต่บ้านคน ใครจะคิดว่าข้างในมีมิวเซียมน่ารักๆ อยู่ เดินเข้าซอยไปนิดเดียวก็จะเจอมิวเซียมอยู่ขวามือ ดูหน้าตาคล้ายๆ บ้านคน ในซอยนี้จะมีแต่บ้านเรือนทรงโบราณทั้งนั้น ดูขลังดีไม่หยอก ทีแรกผมก็งงๆ ว่ามาถูกรึเปล่า แต่พอเห็นโปสเตอร์หน้าบ้านก็ชัวร์ว่ามาถูก เท่าที่ทำการบ้านมาก่อนเขาว่าต้องเสียค่าเข้าชม แต่วันนั้นผมหน้ามึนเข้าฟรี วันนั้นเขามีกิจกรรมสอนทำงานฝีมือให้กับนักท่องเที่ยวอยู่พอดี แล้วมันก็เย็นย่ำแล้ว คงใกล้เวลาปิดทำการ เลยไม่ค่อยมีใครสนใจผมนัก ก็เลยชมฟรีอย่างที่บอก
ศิลปะจากปมเชือกนี่เป็นงานฝีมือโบราณของเกาหลีเขานะครับ คุณอาจจะเคยเห็นกันมาบ้าง มันก็คือเอาเชือกมาขมวดเป็นปมให้เกิดเป็นลวดลายสวยงาม บางลายนี่เล่นเอางงนะครับว่าทำได้ไง ทั้งหมดเกิดจากเชือกยาวๆ เพียงเส้นเดียว คิดดูละกันว่ามันซับซ้อนแค่ไหน งานฝีมือชนิดนี้เขาว่าสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคเกาหลีโบราณ สมัยราชวงศ์โจซอง ผมก็ไม่รู้ว่ามันเก่าขนาดไหนอ่ะนะ เอาเป็นว่าของเก่าละกัน ส่วนตัวมิวเซียมแห่งนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่ปี ๒๐๐๔ ภายใต้การสนับสนุนจากสภาเมือง เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์งานฝีมือโบราณชนิดนี้เอาไว้
ผมเชื่อว่าเดิมทีนั้นงานฝีมือชนิดนี้น่าจะจำกัดประโยชน์ใช้สอยอยู่บ้าง อาจะใช้เป็นเครื่องประดับ เครื่องราง หรือใช้ในพิธีกรรมบางอย่าง แต่เพราะความ Creative ของคนบ้านเขา เลยมีการดัดแปลงและพัฒนาให้กลายเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ เช่น กระเป๋า หมวก ของตกแต่ง พวงกุญแจ ซึ่งของพวกนี้ก็สามารถขายเป็นสินค้าที่ระลึก หารายได้เข้ามิวเซียมได้ด้วย นอกจากนี้ยังเปิดสอนเป็นจริงเป็นจัง มีคนมาเรียนเยอะเสียด้วยทั้งคนเกาหลีเองคนต่างชาติ
ภายในเขาก็จัดแสดงแบบง่ายๆ งานแต่ละชิ้นสวยงามและสีสันเจ็บปวดดีเหลือเกิน
ของที่ระลึก ส่วนมากจะเป็นที่ห้อยโทรศัพท์ กำไล พวงกุญแจ
ราคาก็มีตั้งแต่ไม่กี่สิบบาทไปจนถึงหลักร้อย
ผลงานชิ้นที่ต้องการความคงทนหรือให้คงรูป เขาก็เอามาแช่กาว
ตัวมิวเซียมเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงโบราณ เล็กมากๆ ครับ ถ้าดูจากรูปจะเห็นว่าแคบแค่ไหน ผู้ใหญ่สี่ห้าคนเข้าไปนี่ก็อึดอัดแล้วล่ะครับ เขาจัดแสดงผลงานฝีมือไว้รายรอบ มีทั้งที่เป็นของโบราณและของใหม่ มีรูปร่างและประเภทของงานแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องตกแต่งเสียมาก ตรงกลางห้องมีผลงานที่เป็นของที่ระลึกไว้ขาย ราคาไม่แพงนะครับ แล้วก็สวยเสียด้วย
วันที่ไปนั้นมีครอบครัวนึงมาเที่ยวแล้วก็คงกำลังเรียนวิชากันอยู่ เด็กๆ ดูสนุกสนานมาก พอเรียนเสร็จก็จะได้ผลงานกลับบ้านไปอวดเพื่อนๆ คนละชิ้น เป็นกิจกรรมที่ไม่เลวเลยครับ ที่น่าชมก็คือผู้ปกครองนี่แหละที่เข้าใจหาลูกๆ มาเที่ยวมิวเซียมแทนที่จะพาไปเดินตามห้าง ผมเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ จริงๆ รอบเดียวก็ทั่วแล้วล่ะ เพราะมันแคบซะขนาดนั้น ที่จริงอยาจะลองคุยกับคุณเจ้าหน้าที่เขาหน่อย แต่ว่าเย็นมากแล้ว เขากำลังจะปิดพอดี ก็เลยไม่ได้คุยอะไรกัน
ครอบครัวที่มาร่วมกิจกรรม สาวสวยชุดขาวนั้นคือคุณเจ้าหน้าที่ครับ …น่ารัก
พอเดินออกมาก็สวนกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมาชมที่นี่เหมือนกัน แสดงว่าที่นี่ค่อนข้างฮิตพอสมควรเชียวแหละ ทั้งที่เป็นมิวเซียมเล็กๆ แบบนี้ เพราะเป็นมิวเซียมที่แปลกด้วยกระมัง ลองคิดดูนะครับ แค่งานฝีมือชนิดเดียวแต่ยังสามารถจัดแสดงเป็นมิวเซียมได้ขนาดนี้ เขาให้ความสำคัญและมีหัวสร้างสรรค์ขนาดไหน อีกอย่างหนึ่งที่ผมชื่นชมก็คือสถานที่ที่แคบมาก แต่ทำไมกลับดูยิ่งใหญ่เสียจริงๆ ศิลปะเล็กๆ แต่กลับยิ่งใหญ่เสียจนใครต่อใครอยากเข้ามาชม ดังนั้นเรื่องของสถานที่จึงไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และการสร้างสรรค์งาน
ที่หน้าบ้าน (ขอเรียกว่าบ้านละกัน) มีโปสเตอร์อธิบาย มีรูปคุณป้าคนหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นบรมครูด้านนี้กระมัง เขาเขียนบรรยายว่าคุณป้าคนนี้ร่ำเรียนวิชาสืบทอดมาจากครอบครัว แล้วก็เปิดสอนวิชาให้กับคนที่สนใจด้วยนะ ไม่ได้หวง เป็นการอนุรักษ์งานศิลปะประเภทนี้ให้คงอยู่คู่ประเทศเขาตลอดไป
คราวหน้าไปหาอะไรกินกันอีกดีกว่า …