การมาแท่ดโซลครั้งนี้จุดมุ่งหมายที่เล็งไว้แต่แรกคือการทัวร์มิวเซียมต่างๆ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็หนังเกาหลีก็ไม่ดู ดาราก็ไม่รู้จัก ละครก็ไม่สน เพลงก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วประเทศนี้มันจะมีห่าอะไรให้กูดูวะเนี่ย ก็เลยคิดว่ามาดูวัฒนธรรมบ้านเขาก็คงจะดี
เล็งไว้หลายมิวเซียม จากการทำการบ้านก็พบว่าประเทศนี้มันตัวพ่อของการทำ Creative Culture จริงๆ จากการที่มันประสบความสำเร็จจาก Creative Economy สู่ Creative Industrial มันก็กลับมาเน้นที่การส่งเสริมวัฒนธรรม มิวเซียมมันเยอะมาก เฉพาะที่โซลก็ปาเข้าไปหลายสิบ ทั้งมิวเซียมของรัฐและของเอกชน ยังไม่รวมแกลลอรี่อีกนับสิบ และทุกที่ของมันก็มีการ PR อย่างดี โดยเฉพาะจาก อสท.ของเกาหลีเอง
เป้าหมายแรกคือ Cartoon Museum และ Seoul Animation Center สองแห่งนี้อยู่ติดกันเลย เดินทางด้วยรถไฟสายสีฟ้า (สาย ๔) ไปลงที่สถานี Myeong-dong ยังไม่ต้องไปชมตลาด ไปดูมิวเซียมกันก่อน ออกที่ทางออกหมายเลข ๑ เดินย้อนขึ้นไปบนเนิน เป็นถนนที่แปลกมาก ทีแรกนึกว่ามาผิดทาง คือถนนมันจะเอียงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเจอตึกกาชาดเกาหลี (Korea Red Cross) อยู่ขวามือ อดทนต้านแรงโน้มถ่วงไปอีกนิดนึงก็จะเจอ ป้าย Cartoon Museum อันเบ้อเริ่มอยู่ฝั่งซ้ายมือ ข้ามถนนไปก็เข้าได้เลย
เดินขึ้นเนินมาก็จะเจอป้ายอันนี้ แสดงว่ามาถูกทางแล้ว
ด้านหน้าจะมีรูปปั้นตุ๊กตาตัวการ์ตูนของเกาหลี ไม่รู้จักหรอก แต่ก็น่ารักดี เหมาะสำหรับชักภาพเป็นที่ระลึก มีหุ่นยนต์ตัวโต ดูทีแรกนึกว่าหุ่น Great Mazinger จากนั้นเดินเข้าไปในที่ตัวอาคารด้านซ้าย ด้านหน้าเขากันไว้เป็นที่จอดรถ พอเดินเข้าไปก็จะเจอบรรยากาศเงียบๆ งงๆ มึนๆ ซ้ายมือจะเป็นห้องเล็กๆ สำหรับ รปภ. ไม่ต้องไปถามอะไรเขานะครับ เดินดุ่ยๆ เข้าไปเลย ฟอร์มว่าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ได้ เพราะเขาก็ไม่สนใจเราหรอก
บรรดาตัวการ์ตูนมายืนต้อนรับ เสียดายที่มีน้อยไปหน่อย
ทางเข้าเล็กๆ ดูไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ ถ้าไม่สังเกตอาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ที่ชั้นแรกหันขวามือจะเจอกับห้องสมุดการ์ตูน Cartoon Library สวรรค์เลยล่ะครับ ห้องสมุดที่มีแต่การ์ตูน วันที่ผมไปนั้นมีเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษาพอดี ห้องสมุดก็เลยเต็มไปด้วยเด็กๆ บรรยากาศเงียบกริบ เพราะเด็กทุกคนนั่งอ่านการ์ตูนอย่างมีสมาธิ ราวกับว่ามันจะออกเป็นข้อสอบเข้ามหาลัย ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าเจอเด็กหนุ่มนั่งห่อปกการ์ตูนอยู่ เลยสอบถามด้วยมารยาทว่า ‘กูจะเข้ามาดูห้องสมุดเนี่ย ต้องทำบัตรหรือเสียตังค์อะไรมั้ย’ … เงียบ … คือเขาพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ พูดได้เป็นคำๆ (ผมชอบเกาหลีตรงนี้แหละ เพราะทำให้ผมรู้สึกว่าเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้นอีกโขเลย) ไอ้หนุ่มนั่นก็ยิ้มเขินๆ ตอบมาประมาณว่า ‘มึงจะดูอะไรก็เชิญเลยครับ’ ผมเลยตะเวนดู ถูกใจมากๆ มีหนังสือการ์ตูนเพียบ ครบชุด ทั้งการ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนฝรั่ง และการ์ตูนของเกาหลีเอง นอกจากการ์ตูนแล้วก็ยังมีหนังสือที่เกี่ยวกับการ์ตูน ทั้งชีวประวัตินักเขียน ตำราการ์ตูน หนังสือนิยาย หนังสือภาพ แต่เกือบทั้งหมดจะเป็นการ์ตูน
ผมไม่แน่ใจว่าบ้านเรามีอะไรแบบนี้มั้ย คงยากที่จะมี ตราบใดที่ผู้ใหญ่บ้านเรายังคงลืมเลือนว่าตัวเองเคยเป็นเด็กมาก่อน ผู้ใหญ่มักจะมองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้ามีเวลาว่างมากนักล่ะก็ ทำไมไม่อ่านหนังสือเรียน (คุ้นๆ กันมั้ย) ไม่ใช่เฉพาะการ์ตูนหรอกครับ หนังสืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่หนังสือเรียน ผู้ใหญ่ก็มักจะมองว่ามันไร้สาระไปเสียทั้งหมด
เจ้าหนุ่มกำลังห่อปกการ์ตูนมาใหม่เป็นตั้งเลย มันคงแอบอ่านก่อนเด็กๆ แหงแซะ
เคาน์เตอร์ทำงานก็ยังประดับด้วยตัวการ์ตูน
ทีนี้ลองหันมามองในมุมมองของผู้ใหญ่บ้าง ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ที่มีความคิดในแบบย่อหน้าข้างบนนั้นเริ่มน้อยลง ผู้ใหญ่ยุคใหม่มีทัศนคติที่เปิดกว้างมากขึ้น พวกท่านทั้งหลายเริ่มมองว่าการ์ตูนไม่ใช่จะไร้สาระไปเสียทั้งหมด แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ว่าจะยุคไหนๆ หรือแม้กระทั่งผมเอง หรือท่านเองก็ตาม เมื่อวันหนึ่งท่านเป็นพ่อคนแม่คน ท่านก็คงต้องปรามลูกๆ หลานๆ ของท่านเหมือนที่ท่านถูกพ่อแม่ของท่านปรามมาแล้ว ไม่ใช่เพราะการอ่านการ์ตูนหรอกครับ แต่เพราะการแบ่งเวลาไม่ถูกมากกว่า ท่านว่าใช่หรือไม่ล่ะครับ?
เพราะไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ หากแบ่งเวลาไม่ถูก ใช้เวลาไม่เป็น มันก็เกิดผลเสียกันทั้งนั้นแหละครับ
แต่ย้อนกลับมาที่ห้องสมุดการ์ตูนที่นี่ มองแบบแคบๆ ที่สุดเลย อย่างน้อยมันก็เป็นแดนสวรรค์สำหรับเด็กๆ ที่เขาได้หยุดนิ่ง จมจ่อมกับโลกในจินตนาการ หรืออย่างน้อยก็มองว่านี่คือการส่งเสริมการอ่านอย่างหนึ่งนะครับ ดีกว่าให้เขาไปเตร็ดเตร่ที่ไหนเสียอีก
หยิบมาพยายามอ่านเล่ม แต่อ่านไม่ออก เลยดูแต่รูป แค่ดูรูปก้เพลินแล้วคุณเอ๋ย วนๆ ดูจนทั่วก็เลยขึ้นไปชั้นสอง ที่บันไดเขาก็มีตู้โชว์หนังสือการ์ตูนตั้งแต่อดีตของเกาหลี ประมาณ Time Line ของวงการหนังสือการ์ตูน เริ่มจากหนังสือแนววัยรุ่นยุคโบราณ มีการ์ตูนประกอบ จนพัฒนามาเป็นหนังสือการ์ตูนเพียวๆ ลองสังเกตดูดีๆ ผมว่าการ์ตูนเกาหลีมีรูปแบบคล้ายๆ การ์ตูนญี่ปุ่นเหมือนกัน อาจเพราะอุตสาหกรรมมังงะของญีปุ่นตีตลาดไปทั่วโลก จนกลายเป็นการแผ่อิทธิพลไปทั้งโลก รูปแบบ ลายเส้น จึงจะมีแนวเส้นคล้ายๆ กัน โดยเฉพาะการ์ตูนฝั่งตะวันออก ซึ่งหากไปเทียบกับการ์ตูนจากฝั่งตะวันตกจะเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย
บรรยากาศการใช้ห้องสมุดของเด็กๆ ปกติเด็กๆ คงไม่ค่อยชอบห้องสมุดเท่าไหร่
แต่คงไม่ใช่ที่นี่ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ
ที่นั่งแคบๆ ก็ยังอุตส่าห์เบียดกัน
มุมหนังสือภาพ เจอเล่มนี้เข้าให้ เป็นหนังสือภาพแนวเซอร์เรียล
เรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่จิตหลอนๆ หน่อย จินตนาการว่าผมเธอมีชีวิต ทะลุมิติเวลา ฯลฯ
ที่ชวนหลอนๆ แนวจิตตกยังไงพิกล สยองดี สมชื่อ Paranoid Kid
ขึ้นมาถึงชั้นสองก็เจอตัวมิวเซียม ดูๆ ไปไม่น่าจะเรียกมิวเซียม น่าจะเป็นศูนย์ข้อมูลการ์ตูนมากกว่า มีส่วนของนิทรรศการอยู่ไม่มากนัก มีโมเดลขนาดใหญ่ของตัวการ์ตูนทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก ด้านในกันพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นที่ฉายการ์ตูน มีเบาะนั่งนุ่มนิ่มสีสันแสบตา ผนังทุกด้านเป็นชั้นวาง DVD การ์ตูนเป็นร้อยๆ เรื่อง …สวรรค์อีกแล้ว
เจอการ์ตูนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น การ์ตูนของเกาหลีก็มีนะครับ แต่ผมจะคุ้นเคยกับฝั่งญี่ปุ่นมากกว่า เจอการ์ตูนเรื่อง กัปตันฮาร์ล็อค แทบกรี๊ด จำได้ว่าเรื่องนี้เคยเอามาฉายตอนเย็นๆ ทางฟรีทีวี โคตรติด ดูรู้เรื่องบ้างไม่รุ้เรื่องบ้าง แต่จำติดตาว่าเรือรบของกัปตันช่างเท่เสียจริงๆ
การ์ตูนตัวนี้เกิดเมื่อปี ๑๙๓๐ น่าจะเป็นการ์ตูนที่ฮิตในบ้านเขาเมื่อนานมาแล้ว
เพราะเห็นขึ้นปกอยู่หลายเล่ม
ที่ผนังนั่นคือการ์ตูนล้วนๆ อยากดูเรื่องไหนก็หยิบมาดูที่มุมนี้
แล้วจะนั่งดูนอนดูก็ตามสะดวก เด็กๆ ชอบมุมนี้มาก
เจอ โจ สิงห์สังเวียน เซเลอร์มูน กันดั้ม แคนดี้ จีจี้ อาซาริ คิวทาโร่ ฯลฯ สารพันที่เคยดูตอนเด็กๆ ที่นี่มีหมดเลย ด้านข้างเขายังติดโปสเตอร์ประวัตินักเขียนดังๆ คนยังเขียนอยู่ บางคนก็เลิกเขียนหนีไปนอนเล่นบนสวรรค์แล้วก็มี ด้านหลังสุดกั้นเป็นห้องสำหรับฉายหนังเป็นมินิเธียร์เตอร์ อลังมาก
เจอเจ้าหน้าที่เป็นสาวหมวย หน้ากลมๆ ยิ้มเก่ง วันนั้นมีเด็กมาทัวร์พอดี แกก็แวะมาขอโทษขอโพยว่าไม่ได้มาต้อนรับ พอว่างจากรบกับเด็กแล้วก็เลยแวะมาคุยด้วย แกเล่าว่าที่นี่เข้าชมฟรี ฟรีทุกอย่าง ทั้งห้องสมุดด้านล่างและส่วนตรงนี้ ฟรีหมด ไม่ต้องทำบัตรห่าอะไรทั้งนั้น อยากอ่านการ์ตูน อยากดูการ์ตูน ก็ดุ่ยๆ เข้ามาเลย ผมไม่มั่นใจว่าเป็นหน่วยงานของรัฐรึเปล่านะครับ เพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่แค่นี้ก็ประทับใจแล้วล่ะครับว่าบ้านเขานี่เปิดโอกาสในการแสวงหาทั้งความรู้และความบันเทิงแบบสร้างสรรค์จริงๆ
สาวหน้ากลมคนนี้แหละที่ทำหน้าที่ดูแลมิวเซียม
ดูท่าทางแฮปปี้กับงานมาก เป็นงานที่ผมเองก็อยากทำบ้างเหมือนกัน
เดี๋ยวจะพาไปดู Seoul Animation Center ในคราวหน้าจ้ะ