หากใครเป็นพวกหลงใหลเครื่องเสียงประเภทที่ต้องต่อเองประกอบเอง หรือไม่ก็พวกวงจรอิเล็กทรอนิกส์หลากชนิด ก็ต้องนึกถึง บ้านหม้อ เป็นแห่งแรก เพราะที่นี่รวมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ
บ้านหม้อ เป็นชุมชนเก่าอยู่เลย ถนนตรีเพชรไป นิดนึง ถ้ามาจากโรงเรียนสวนกุหลาบ เชิงสะพานพุทธก็เดินเลียบหน้าโรงเรียนมาถึงสี่แยก เลี้ยวซ้ายก็เข้าเขตบ้านหม้อแล้ว หรือถ้ามาจากพาหุรัด เลย ดิ โอลด์สยาม ข้ามสี่แยกมาก็เจอ หรือมาจากฝั่งปากคลองตลาดก็เลียบคลองมานิดเดียวก็เจอ
ที่เรียกว่าบ้านหม้อ เพราะพื้นที่แถบนี้เคยเป็นแหล่งปั้นหม้อมาแต่ก่อน พอบ้านเมืองเจริญขึ้นอาชีพนี้ก็ค่อยๆ สูญหายไป กลายเป็นแหล่งชุมนุมร้านค้าขายเพชรพลอย ปัจจุบันก็เหลืออยู่พอสมควร ที่เข้ามาแทนที่คือบรรดา ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเสียง จำพวกลำโพง แอมปริฟายเออร์ อะไรต่อมาอะไรที่เป็นพวกเครื่องเสียง ที่นี่มีหมด แล้วก็ยังมีพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ บรรดาช่างไฟ ช่างซ่อมทั้งหลายมาเดินหาซื้ออะไหล่กันที่ นี่ทั้งนั้น สินค้าที่ว่านี้วางขายเรียงรายตั้งแต่หัวถนนไปจุดสุดถนน ไม่เว้นกระทั่งตามตรอกซอย เรียกว่าทุกพื้นที่ของบ้านหม้อเต็มไปด้วยสินค้าประเภทนี้ทั้งสิ้น
รถราขวักไขว่ สัญญาณไฟจราจรแทบไม่มีความหมายที่นี่
ดูจากป้ายร้านยังพอจะมีร้านค้าเพชรพลอยเหลืออยู่บ้าง
จำได้ว่าสมัยข้าพเจ้ายังอยู่ที่สวนกุหลาบ ก็ต้องเดินเข้าๆ ออกๆ หาซื้อวงจรไฟฟ้ามาประกอบส่งอาจารย์กันที่นี่ มาตื่นตาตื่นใจกับวงจรมากมาย ถ้าประเภทที่ง่ายๆ หน่อยก็เลือกซื้อวงจรพวกไฟกระ พริบ ไฟหมุน ไฟหรี่ เก่งกล้าขึ้นมาหน่อยก็เป็นชุดไมโครโฟน ไมค์ลอย ส่วนใครที่อาจหาญมากขึ้นไปอีกก็เล่นพวกวิทยุประกอบเอง ส่วนใหญ่จะไม่สำเร็จ ประกอบทำเป็นเครื่องให้ดูมีราศีกันไปอย่างนั้นเอง ก็ตอนโน้นยังไม่มีการสอนคอมพิวเตอร์กัน ใครที่เล่นพวกอิเล็กทรอนิกส์แบบนี้ก็นับว่าโก้กันแล้ว
เดินเลยเข้าไปหน่อยถึงแยกบ้านหม้อจะเจอ ตลาดบ้านหม้อ เป็นตลาดสด ที่หน้าตลาดมีป้ายชื่อตลาดบ้านหม้อเป็นปูนปั้นลวดลายสวยเชียว แต่ไม่ค่อยจะมีใครแหงนหน้าขึ้นไปมองนัก ด้านบนยังมีหม้อใบโตวางอยู่เป็นสัญลักษณ์ บ่งบอกว่าสมัยก่อนที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องปั้นหม้อ เดี๋ยวนี้บริเวณนี้แออัดมากกว่าแต่ก่อน รถราขวักไขว่ ใครเดินไม่ระวังอาจถูกเฉี่ยวเอาง่ายๆ บนทางเท้านั่นไม่ต้องพูดถึง กลายเป็นที่วางสินค้าของร้านต่างๆ หมดแล้ว บน ถนนก็ไม่เว้น ตั้งแผงขายของบ้าง จอดรถส่งของบ้างรถเข็นพ่อค้าแม่ค้าบ้าง ขนาดเป็นถนนสายสั้นๆ แต่ก็จัดว่าจอแจพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพเลยทีเดียว
อยากให้ลองสังเกตตึกฝั่งขวา เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปที่เท่มาก
ตึกหลายแห่งที่นี่ยังคงสภาพเดิมไว้ บางแห่งก็ตกแต่งใหม่จนเสียของ
ป้ายชื่อ ตลาดบ้านหม้อ แทบไม่มีใครแหงนหน้ามองเท่าไหร่
จะเห็นหม้อวางอยู่ด้านบนเป็นสัญลักษณ์ของบ้านหม้อ
ป้ายชื่อตลาดและอาคารใกล้เคียง ดูเรียงต่อกันเป็นจังหวะสวยมาก
เสียตรงที่ไอ้สายไฟระเกะระกะนี่แหละ ที่ทำให้ตึกสวยๆ ในกรุงเทพด้อยคุณค่าไป
เดินบ้านหม้อร้อนๆ แล้วก็มาตากแอร์เย็นๆ ที่ ดิ โอลด์สยาม พลาซ่า เมื่อก่อนตรงนี้เป็นตึกแถวเก่าๆ จำได้ว่าเคยมาเดินชมตึกสวยๆ ที่นี่กับเพื่อนฝูงเป็นประจำ ก็ไม่ได้หรูหราอะไรหรอก ก็ตึกเก่าๆ โทรมๆ แต่ยังคงสภาพดี ทั้งประตู ช่องลม หน้าต่าง จั่ว ยอดตึก หรือแม้กระทั่งป้ายชื่อร้าน มันดูคลาสสิกไปหมด แล้วร้านค้าแต่ละร้านก็คลาสสิกสุดๆ จำได้ว่าตรงหัวมุมเป็นห้างอะไรสักอย่าง จำชื่อไม่ได้ ด้านหน้าติดกระจกโชว์สินค้า มีภาพโฆษณาเก่าๆ บางห้องก็ถูกดัดแปลงเป็นร้านเหล้า เสียดายตอนนั้นยังเด็ก เข้าไปไม่ได้…ถ้านึกไม่ออกก็ลองเดินเลยขึ้นไปทางเฉลิมกรุง แถวร้านกาแฟรุ่นคุณพ่อ ออน ล๊อก หยุ่น ตึกตรงนี้ก็คล้ายๆ แถบนั้นแหละ
อาคาร ดิ โลอด์สยาม พลาซ่า สร้างทับตึกสวยๆ ที่มีอยู่เดิม
แต่อย่างน้อยก็ขอขอบคุณห้างเขาที่คงคอนเซ็ปอนุรักษ์ร้านค้าสไตล์โบราณๆ เอาไว้
ซอยนี้แหละครับ รถเข็นไอติมที่ว่านี่อยู่ปากซอยทางซ้ายมือ
เมื่อก่อนซอยนี้เงียบมากนะ ไม่ค่อยมีคนเดินหรอก แต่เดี๋ยวนี้ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ
มาแถบนี้ทีไรก็อดนึกถึงความหลังไม่ได้ (สงสัยจะแก่แล้ว ชอบย้อนอดีต) ตรงข้ามดิ โอลด์สยาม มีซอยหนึ่งสามารถทะลุมาจากบ้านหม้อได้ หรือถ้ามาจากถนนตรีเพชรก็ผ่านห้างไนติงเกลมาหน่อยหนึ่ง ซอยแรกเลย มีรถเข็นขายไอติมอยู่เจ้าหนึ่ง เมื่อก่อนเขาขายไอติมกะทิไม่มียี่ห้อติดนะ แต่ตอนนี้เห็นติดป้ายไผ่ทอง สมัยโน้นเลิกเรียนก่อนกลับบ้านก็แวะมานั่งละเลียดไอติมที่นี่ นั่งกินริมถนนนั่นแหละ มีเครื่องพวกข้าวโพด เผือก ข้าวเหนียว ถั่วดำ ถั่วแดง เทือกนี้ ราคาถ้วยละ ๖ บาท วันไหนซวยหน่อยก็นั่งกินขนาบด้วยนักเรียนจากโรงเรียนคู่อริ (ไม่ขอเอ่ยนาม) กินไปเหล่กันไป ถ้าดวงดีหน่อยก็เจอเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนแถวนั้นนั่งกิน ถ้าเจอแบบนี้ก็จะกินอย่างมีความสุขหน่อย ไม่นานมานี้เพิ่งไปนั่งกินเป็นครั้งแรกในรอบ ๑๖ ปี ปรากฏว่ายังขายอยู่ที่เดิม แต่บรรยากาศเปลี่ยนไปหมดแล้ว ซอยที่เคยเงียบกลายเป็นพลุกพล่าน นกพิราบที่เคยบินรอข้าวโพดหล่นๆ ก็หายหย้าไป อาโกอาอี้คนเก่าที่เคยยืนขายก็เปลี่ยนเป็นอาม่วยเสียงดังล้งเล้ง จากถ้วยละ ๖ บาทก็เป็น ๑๕ บาท
แม้จะยังอร่อยเหมือนเดิม แต่ทำไมไม่รื่นรมย์เหมือนเมื่อก่อนก็ไม่รู้