(บทความชุดนี้มีการเพิ่มเติมความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในบางประเด็น จึงโปรดพิจารณาก่อนหากท่านใดจะนำไปอ้างอิง)
หลังจากที่พระศาสดามูฮัมหมัดสิ้นพระชนม์ลง ก็มีการส่งต่อภาระการสืบทอดศาสนาให้กับ กาหลิบ คือตำแหน่งผู้นำสูงสุดของชาวมุสลิม กาหลิบพระองค์แรกคือ อาบู บักร ซึ่งเป็นสานุศิษย์ที่ติดตามพระศาสดามาตั้งแต่ต้น โดยยึดหลักขยายอาณาเขตและความศรัทธาด้วยกองทัพ ไม่ว่ากองทัพมุสลิมยาตราทัพไปที่ใด ที่นั่นจะต้องเปลี่ยนมานับถือพระอัลเลาะห์และหลักการของศาสนาอิสลาม เหตุนี้เองทำให้ดินแดนบริเวณตะวันออกกลางเกือบทั้งหมดกลายเป็นรัฐอิสลามมานับแต่บัดนั้น
การขยายอาณาจักรอิสลาม รุกข้ามเมอดิเตอเรเนียนไปจนถึงสเปน
ถึงสมัยกาหลิบองค์ที่สองก็ยังคงใช้ยุทธวิธีทหารนำ พื้นที่ซีเรีย อิรัก อิหร่าน ถูกยึดครองโดยรัฐอิสลาม ข้ามไปถึงฝั่งตะวันตกคือ อียิปต์ แอฟริกาตอนเหนือก็ถูกยึดครองด้วยเช่นกัน และรวมไปถึงอาณาจักรไบแซนไทน์บางส่วน การเรืองอำนาจของอิสลามนี้เองก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียตามมา
การขยายตัวของรัฐอิสลามทำให้สามารถขยายดินแดนออกไปมากมายรวมถึงได้ผู้คนที่ศรัทธามากขึ้นตามไปด้วย แต่อำนาจอันหอมหวลก่อให้เกิดกิเลสในใจมนุษย์เสมอ เกิดความขัดแย้งกันเองภายในชนชั้นปกครองของชาวมุสลิม การเมืองภายในรัฐเริ่มไม่มีเสถียรภาพ มีการปัดแข้งปัดขากันเองด้วยเหตุที่มองแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ผู้ปกครองดินแดนต่างๆ มองว่ามีการปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เป็นธรรม เหตุการณ์เริ่มบานปลายเมื่อกาหลิบองค์ที่สองคือ โอมาร์ บิน อัลคัตตาบ ถูกลอบสังหาร กาหลิบองค์ที่สามขึ้นดำรงตำแหน่งแทนคือ อุธมาน บิน อัฟฟาน ซึ่งมีหลายฝ่ายมองอย่างเคลือบแคลงสงสัยว่าท่านอาจอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารในครั้งนั้น
อาบู บักร (Abu Bakr) กาหลิบองค์แรก (ค.ศ. ๖๓๒-๖๓๔)
ในสมัยของกาหลิบอุธมานก็ได้สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม โดยมีความพยายามที่จะชำระพระคัมภีร์อัล กรุอานที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยพระศาสดามูฮัมหมัด เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมุสลิมหัวเก่าอย่างมาก จึงพากันบอยคอตกาหลิบอุธมานและเป็นชนวนความแตกร้าวในหมู่ชาวมุสลิมมากขึ้นไปอีก จนในปี ค.ศ. ๖๕๖ กาหลิบอุธมานก็ถูกลอบสังหาร
กาหลิบองค์ที่สี่คือ กาหลิบอาลี บิน อาบี ทาลิบ เป็นช่วงเวลาที่มุสลิมกำลังเรืองอำนาจ แต่ขณะเดียวกันก็มีความขัดแย้งภายในที่รุนแรงรอเวลาระเบิดขึ้นได้เสมอ กาหลิบพระองค์นี้ครองตำแหน่งอยู่ได้เพียงห้าปีก็ถูกลอบสังหาร และกลายเป็นความแตกแยกอย่างเด็ดขาดของชาวมุสลิมจนกลายเป็นสองนิกายคือ สุหนี่ (Sunni) และ ชีอะ (Shi’a)
ฝ่ายสุหนี่นั้นก็คือฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ยังคงยึดถือธรรมเนียมแบบอย่างโบราณของพระศาสดาอย่างเคร่งครัด มีผู้นำสูงสุดคือกาหลิบเช่นเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนให้การสืบทอดตำแหน่งนั้นเป็นไปตามเชื้อสาย คือมีการสืบทอดกันเป็นราชวงศ์ขึ้น โดยเริ่มจากราชวงศ์โอเมยาด ตั้งศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ดามัสกัส ประเทศซีเรียในปัจจุบัน ในสมัยของราชวงศ์โอเมยาด อาณาจักรอิสลามสามารถขยายดินแดนไปจนถึงนครเยรูซาเล็ม เป็นการกำชัยชนะเหนือชาวคริสต์ได้ (ราว ค.ศ. ๗๐๐) มีการสร้าง Dome of the Rock ขึ้นครอบเทวะสถานเดิมที่เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ อับราฮัม ได้นำบุตรชาย คือ ไอแซค มาบูชายันต่อเทพเจ้า ณ บริเวณนี้เองเดิมทีเคยเป็นวิหารโซโลมอนมาก่อน แต่ถูกทำลายไปจากการเข้ายึดครองของพวกบาบิโลนและอาณาจักรโรมตามลำดับ
ราชวงศ์โอเมยาดปกครองยาวนานสืบทอดตำแหน่งกาหลิบนานถึง ๑๔ รุ่น สามารถยึดครองดินแดนไปจนถึงพื้นที่บางส่วนของสเปน จากนั้นอำนาจของราชวงศ์ก็เริ่มเสื่อมถอย ราชวงศ์อับบาซิด จึงขึ้นมาครองอำนาจแทน และทำการย้ายเมืองหลวงจากดามัสกัสไปที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก