
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่กระแส เรียล โชว์ บูมมากในบ้านเรา ทั้งรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ บ้านอื่นเมืองอื่นก็มีเหมือนกันและมีก่อนเราเสียอีก อย่างในอเมริกาเขามีรายการทำนองนี้เป็นประจำ ประเภทที่ถือกล้องคอยถ่ายชีวิตประจำวันของใครต่อใคร (โดยเฉพาะคนดัง) บางรายการก็ทำได้น่าสนใจแต่บางรายการก็ไม่ไหวจริงๆ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ผู้ชมมาคอยนั่งดูชีวิตประจำวันของใครคนหนึ่งอยู่ได้เป็นนานสองนาน แต่ก็น่าแปลกที่เรตติ้งรายการทำนองนี้กลับไปได้สวย คงเพราะนิสัยสอดรู้สอดเห็น อยากรู้เรื่องของคนอื่นนี่กระมัง จึงไม่แปลกที่คนไทยจะนั่งเฝ้าหน้าจอดูพฤติกรรมของบรรดา AF ทั้งหลาย แม้กระทั่งตอนนอน!
เมื่อสักสองปีก่อนบ้านเรามีหนังแนวนี้ออกฉายเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากทีเดียว เรื่อง Final Score ๓๖๕ วัน ตามติดชีวิตเด็กเอนท์ ซึ่งข้าพเจ้าว่าเขาทำออกมาได้เนียนทีเดียว คือมีประเด็นสาระที่แน่นอน ทำให้ผูชมให้เห็นแง่มุมต่างๆ ของช่วงชีวิตของเด็กที่ยืนอยู่ตรงทางแยกของชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงการถ่ายทอดการดำเนินชีวิตงี่เง่า ๆ ไปวันๆ ของพวกคนดังซึ่งไม่เห็นประโยชน์ที่จะดู พอหมดจากเรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะมีแนวนี้ออกมาอีกเลย อาจะเพราะมันใช้เวลาในการผลิตนานก็เป็นได้
จนได้มาดูหนังแนวนี้อยู่เรื่องหนึ่ง เป็นการถ่ายทอดชีวิตในแง่มุมที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ของคนดังระดับโลกคนหนึ่ง ดังขนาดที่คนทั้งโลกต้องรู้จักแม้จะไม่ได้อยู่ในวงการนี้ก็ตาม เขาเป็นกีฬาครับ เขาชื่อ “ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า”
โฉมหน้าของ คุสตูริกา ผู้กำกับบ้าเลือดแห่งเซอร์เบีย
สนิทกับเสือเตี้ยแค่ไหน ดูภาพเอาเองเถอะ
เจ้าของโปรเจคต์อลังการนี้คือ อีเมอร์ คุสตูริกา (Emir Kusturica) ผู้กำกับหนังสุดห้าวชาวเซอร์เบีย ที่ต้องเรียกว่าสุดห้าวก็เพราะคุสตูริกาเป็นประเภทหัวแข็ง บ้าดีเดือด ไม่กลัวใคร สมัยหนุ่มๆ เคยประกาศท้าต่อยกับ โบยิสลาฟ เซเซล หัวหน้ากลุ่มขวาจัดของเซอร์เบีย สองปีต่อมาก็ไปตะบันหน้าผู้นำกลุ่ม New Serbian Right กลางงานเลี้ยงเข้าให้อีก ไม่รู้รอดการโดนเก็บมาได้ยังไง คุสตูริกาเกิดและโตในซาราเยโว มีความเป็นศิลปินสูง เป็นทั้งนักแสดง นักดนตรี ผู้กำกับ ด้วยความที่ติสต์แตกและบ้าได้ขนาดนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะเข้ากันได้ดีกับมาราโดน่าที่นับได้ว่าอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ พอกัน
ถึงจะติสต์แตกยังไงแต่คุสตูริกาก็มีฝีมือในระดับหัวแถว เขาเคยได้รับรางวัลปาล์มทองคำมาแล้วถึง ๒ ครั้ง ไม่รู้ว่าไปติดต่อประสานงานกันอีท่าไหน มาราโดน่าถึงได้ตอบตกลง และยิ่งได้รู้จักกันทั้งคู่ก็เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว มาราโดน่าที่ขึ้นชื่อว่าเขี้ยวกับพวกสื่อมวลชนกลับยอมให้คุสตูริกายกกองถ่ายมาถ่ายทำในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของลูกสาวสุดที่รัก คุสตูริกาเลยตอบแทนด้วยการพามาราโดน่าไปเที่ยวเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วยซะเลย
คุสตูริกา เดาะบอลโชว์ มีมาราโดน่ายินลุ้นอยู่ห่างๆ ในงานเปิดตัวหนังที่เมืองคานส์
คุสตูริกาเป็นแฟนตัวยงของมาราโดน่าทั้งเรื่องของฟุตบอลและแนวคิดทางการเมือง อาจเพราะอาร์เจนติน่ากับเซอร์เบียต่างตกเป็นเบี้ยล่างของกองทุนระหว่างประเทศ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์ของมหาอำนาจทางตะวันตก ทั้งคู่เคยร่วมประท้วงการเดินทางมาเยือนอเมริกาใต้ของ จอร์จ ดับเบิ้ลยุ บุช มาแล้วด้วย ส่วนในเรื่องของฟุตบอล คุสตูริกากานับเป็นแฟนบอลตัวเอ้คนหนึ่งเหมือนกัน อย่างในปี ๑๙๘๖ แมตช์ที่อาร์เจนติน่าเอาชนะอังกฤษ ในรอบแปดทีมสุดท้าย ๒-๑ หนึ่งในนั้นเป็นการทำประตูจาก “หัตถ์พระเจ้า” ที่ทั้งโลกกังขา แต่เขากลับบอกว่านั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่อาร์เจนติน่าสมควรได้รับแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า มาราโดน่า ก้าวจากเด็กยากจนในบัวโนสไอเรสมาเป็นซูเปอร์สตาร์ด้วยลำแข้งของเขาเอง เด็กชายดีเอโก้เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ครอบครัวของเขายากจนไม่ต่างอะไรจากประชากรส่วนใหญ่ของอาร์เจนติน่า แต่สิ่งที่เขาได้รับจากพระเจ้าคือพรสวรรค์ทางเกมลูกหนังที่โดดเด่นเหนือคนอื่น อายุเพียง ๑๑ ขวบ ก็เข้าร่วมกับสโมสรท้องถิ่นที่ชื่อ เอสเตลล่า โรช่า เพียงปีเดียวเขาก็ย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ แต่หน้าที่หลักของเขาคือเด็กเก็บบอลและโชว์เดาะบอลในช่วงพักครึ่งเวลา ซึ่งเจ้าหนูมาราโดน่าก็เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้เสมอ

แชมป์แรกกับ โบคา จูเนียร์ส สมัยยังละอ่อน
อายุ ๑๖ ปี เขาก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ สถิติการพังประตูให้กับอาร์เจนติโนสของเขานับว่าสุดยอดมาก เฉลี่ยนัดละ ๑ ประตูเลยทีเดียว ปี ๑๙๘๑ โบคา จูเนียร์ส มหาอำนาจลูกหนังของประเทศก็คว้าตัวเขาไปร่วมทีมจนได้ และเพียงปีแรกเขาก็พาโบคา จูเนียร์ส คว้าแชมป์ลีกของอาร์เจนติน่า
ฟุตบอลโลก ปี ๑๙๘๒ ที่ประเทศสเปน มาราโดน่าในวัยเพียง ๒๒ ปี ก็ได้โอกาสรับใช้ชาติในสังเวียนฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก มาราโดน่าที่กำลังห้าวสุดฤทธิ์กลายเป็นตัวทะลุทะลวงทีเด็ดของทีมฟ้า-ขาว ในรอบที่สองพวกเขาต้องพบศึกหนักกับบราซิล และความห้าวเกินไปของเขาก็ส่งผลร้าย เมื่อมาราโดน่าออกลูกเกเรไปย่ำใส่นักเตะแซมบ้าอย่างน่าเกลียดจนถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม เกมนั้นบราซิลเอาชนะไปเบาะๆ ๒-๐ ปิดฉากกลับบ้านแค่รอบสอง
ช่วงเวลาที่เขาเล่นเป็น “พระเจ้า” ที่นาโปลี
จังหวะย่ำไข่นักเตะแซมบ้าจนถูกไล่ออก ในฟุตบอลโลก ๑๙๘๒ ที่สเปน
หลังฟุตบอลโลกครั้งนั้นชื่อของมาราโดน่ากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทีมเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของลา ลีกา คว้าตัวเขามาร่วมทีม ภายใต้การทำทีมของ เซซ่าร์ หลุยส์ เมน็อตติ เขาช่วยให้บาร์ซ่าคว้าแชมป์โคปา เดอ เรย์ และ สแปนิช ซูเปอร์คัพ อย่างละหนึ่งสมัย ที่สเปนเขาต้องพบกับการเข้าสกัดอย่างรุนแรงของบรรดากองหลังขาโหด ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของเขาจึงหมดไปกับการรักษาอาการบาดเจ็บ ประกอบไม่สามารถปรับตัวในการใช้ชีวิตในสเปน ทำให้บาร์ซ่าตกลงใจขายเขาให้กับ นาโปลี ในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ในปี ๑๙๘๔
ในตอนนั้น นาโปลี เป็นเพียงทีมระดับธรรมดาๆ แต่การมาของมาราโดน่ากลับพลิกบทบาทให้นาโปลีกลายเป็นทีมที่เล่นได้อย่างเหนือชั้น จนแซงหน้าทีมบิ๊กๆ อย่าง มิลาน อินเตอร์ โรม่า หรือ ลาซิโอ อาจะกล่าวได้ว่าเพราะเขานี่แหละ ที่ทำให้นาโปลีคว้าแชมป์เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และทำได้ถึงสองสมัย ตามมาด้วยแชมป์บอลถ้วยอีกหลายรายการ ชาวเมืองเนเปิ้ลส์เทิดทูนมาราโดน่าเป็นอย่างมากจนเรียกเขาว่าเป็น “พระเจ้า” และแม้ต่อมาไม่ว่ามาราโดน่าจะทำตัวเหลวแหลกเพียงไหนแต่ชาวเนเปิ้ลส์ก็ยังคงยกย่องบูชาเขาไม่เปลี่ยนแปลง
ช่วงเวลาของที่เขาอยู่กับนาโปลีเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาก็ว่าได้ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก ปี ๑๙๘๖ ที่เม็กซิโก แต่ก็น่าเสียดายที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาช่างสั้นเหลือเกิน
ในฟุตบอลโลกครั้งนั้นเขาได้แสดงให้เห็นว่าทำไมใครๆ ถึงเรียกเขาว่าพระเจ้า มาราโดน่าโชว์เพลงเตะจนโลกตะลึง อาจกล่าวได้อีกเหมือนกันว่าเพราะเขาคนเดียว อาร์เจนติน่าถึงได้ครองแชมป์ในครั้งนั้น ก่อนทัวร์นาเมนต์ ทีมฟ้า-ขาว ไม่ใช่ทีมเต็งจ๋า ในตอนนั้นทุกคนจับจ้องไปที่บราซิล ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก หรืออิตาลี แชมป์เก่า แต่พวกเขาก็แซงแชมป์เก่าขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มในรอบแรก ผ่านอุรุกวัยในรอบสอง จนมาชนกับของแข็งอย่างอังกฤษในรอบแปดทีมสุดท้าย
Hand of God

นักเตะอังกฤษสามคนยังเอาเสือดเตี้ยไม่อยู่
ขนาดใหญ่ๆ อย่างบุทเชอร์ ยังต้องหัวทิ่มหัวตำ
อาร์เจนติน่ายิ่งเล่นยิ่งดี ลีลาละตินของพวกเขาหลอกล่อนักเตะอังกฤษจนหัวทิ่ม นาทีที่ ๕๑ จากจังหวะที่บอลลอยโด่งหน้าประตู มาราโดน่าทะยานขึ้นเบียดกับ ปีเตอร์ ชิลตัน แล้วบอลก็ลอยเข้าประตูไป อาร์เจนติน่าขึ้นนำ ๑-๐ ท่ามกลาง เสียงประท้วงของนักเตะอังกฤษที่ฟ้องว่ามาราโดน่าใช้มือปัดบอลเข้าประตู เหมือนกับที่สายตานับล้านๆ คู่จากทั่วโลกเห็น แต่ผู้ตัดสินไม่เห็นและยืนยันสกอร์ ๑-๐ หลังจากเกมนั้นมาราโดน่าออกมายอมรับว่าเขาใช้มือปัดบอลจริง แต่นั่นไม่ใช่มือของเขาแต่เป็นมือของพระเจ้า (Hand of God) ต่างหาก
อีก ๔ นาทีถัดมา มาราโดน่าก็กลบเสียงประท้วงเสียสิ้นเมื่อเขาทำประตูที่สองชนิดที่ไร้ข้อกังขา และมันกลายเป็นประตูที่สุดยอดตลอดกาลประตูหนึ่งของประวัติศาสตร์ลูกหนัง เมื่อเขารับบอลจากบริเวณริมเส้นกลางสนาม ลัดเลาะเลี้ยง หลบผู้เล่นอังกฤษคนแล้วคนเล่าเข้าไปจิ้มบอลผ่านมือชิลตันเข้าประตูไป แม้อังกฤษจะทำประตูตีตื้นเป็น ๑-๒ จาก แกรี่ ลินิเกอร์ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว อาร์เจนติน่าผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปพบกับ เบลเยี่ยม ปีศาจแดงแห่งยุโรป
ไม่มีอะไรหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว มาราโดน่าซัดคนเดียวสองประตูในชัยชนะ ๒-๐ พาทีมชาติของเขาเข้าชิงกับเยอรมันตะวันตก เกมนัดชิงชนะเลิศในปีนั้นถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกแมตช์หนึ่ง อาร์เจนติน่าออกนำไปก่อน ๒-๐ แต่ลูกทีม ของไกเซอร์ฟร้านซ์ไม่ย่อท้อ ตามตีเสมอเป็น ๒-๒ ก่อนหมดเวลาเพียง ๙ นาที แต่หลังจากนั้นแค่สามนาทีจากการจ่ายบอลเพียงครั้งเดียวของมาราโดน่า แทงบอลทะลุช่องให้ เบอร์รูชาก้า สอดขึ้นยิงประตูชัยช่วยให้อาร์เจนติน่ากลายเป็นแชมป์โลก
“พระเจ้า” กำลังชูถ้วยฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก
ชื่อของมาราโดน่าดังเป็นพลุแตก เขาเริ่มหันมาใช้ชีวิตอย่างหรูหราไฮโซ ออกงานสังคมเป็นว่าเล่น และเริ่มใช้โคเคนและติดมันอย่างหนัก พรสวรรค์เชิงลูกหนังของเขายังคงเต็มเปี่ยมแต่สิ่งที่ขาดหายไปคือพละกำลัง สมาธิ และแรงจูงใจ
โคเคน ทำให้มาราโดน่าแทบหมดสภาพนักกีฬา เขามีอาการกราดเกรี้ยวกับบรรดาสื่อมวลชน และมีข่าวว่าเขาเข้าไปพัวพันกับมาเฟียอิตาเลียน เขาเริ่มหนีซ้อมบ่อยขึ้นจนถูกสโมสรปรับค่าเหนื่อยเสมอ แต่มาราโดน่าก็ยังเป็นพระเจ้าในสายตาแฟนบอล ฟุตบอลโลกปี ๑๙๙๐ ที่อิตาลี ด้วยสภาพร่างกายที่ต่างเมื่อ ๔ ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง เขาพาทีมอาร์เจนติน่าที่ใครต่อใครต่างมองว่าไม่เหลือลายแชมป์เก่าลงป้องกันแชมป์ เพียงแค่เกมแรกพวกเขาก็ถูกทีมม้ามืดอย่าง แคเมอรูน สอยไป ๑-๐ ก่อนจะเอาตัวรอดด้วยการเข้ารอบสองอย่างจวนเจียน
ในรอบที่สองพวกเขาต้องพบกับคู่แค้นอย่าง บราซิล ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะไปรอด แต่ทีเด็ดของมาราโดน่าก็เกิดขึ้นจนได้ เขาครองบอลหลอกผู้เล่นบราซิลเข้ามารุมถึง ๓ คน ก่อนจะเปิดทะลุให้ คานิกเกีย สอดขึ้นมายิงประตูชัย ๑-๐ ถีบเต็งหนึ่งอย่างบราซิลตกรอบเฉย อาร์เจนติน่าและมาราโดน่ากลับมาแล้วกระนั้นหรือ
จากที่ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ทีมฟ้า-ขาว ถูกมองว่าไปไกลไม่เกินรอบสอง เพราะจากปัญหาที่รุมเร้ามากมาย โดยเฉพาะตัวมาราโดน่าเอง แต่พอถึงเวลาจริงเขาก็ไม่ทำให้ชาวอาร์เจนไตน์ผิดหวัง ที่สุดแล้วอาร์จนติน่าก็ทะลุเข้าชิงกับคู่แข่งเดิม เยอรมันตะวันตก เป็นการรีแมตช์จากนัดชิงเมื่อ ๔ ปีก่อน
หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายหลังพ่ายต่อเยอรมันตะวันตกในนัดชิงฟุตบอลโลก ๑๙๙๐
เกมดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ ว่ากันว่านี่เป็นเกมนัดชิงฟุตบอลโลกที่น่าเบื่อที่สุดเท่าที่เคยมีมา ลูกทีมของไกเซอร์ฟร้านซ์ล้างแค้นไปด้วยสกอร์ ๑-๐ คว้าแชมป์ไปครอง ขณะที่นักเตะด๊อยช์ฉลองกันสุดเหวี่ยง มาราโดน่าหลั่งน้ำตาอย่างไม่อายใคร
หลังจากผิดหวังในฟุตบอลโลก มาราโดน่าจมดิ่งลงไปอีก ฤทธิ์ของโคเคนทำให้เขาแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ลีลาลูกหนังเหลือเพียงแค่ตำนานเล่าขาน ปี ๑๙๙๒ เขาย้ายมาค้าแข้งในสเปนอีกครั้งกับ เซบีญ่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก เขาอยู่กับเซบีญ่าได้ปีเดียวก็กลับมาเล่นให้กับ นีเวลล์ โอลด์บอยส์ ในบ้านเกิด ด้วยสภาพที่อ้วนฉุ หมดลายนักเตะอันดับหนึ่งของโลก เขาลงสนามในซีซั่นนั้นเพียง ๗ นัด ทำไม่ได้เลยซักประตู
ปี ๑๙๙๔ ฟุตบอลโลกกลับมาอีกครั้ง เหลือเชื่อที่มาราโดน่าเรียกความฟิตกลับมาทัน อาร์เจนติน่ายกทัพสู่อเมริกาพร้อมกับความหวัง ในรอบแรกพวกเขาอัดกรีซ ๔-๐ เชือดไนจีเรีย ๒-๑ ก่อนจะพ่ายบัลแกเรีย ๒-๐ เข้ารอบในฐานะทีม อันดับสามที่มีคะแนนดีที่สุด แต่ฟอร์มโดยรวมถือว่าใช้ได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะมาราโดน่าที่ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ ในรอบสองพวกเขาต้องพบกับโรมาเนียที่ดูเหมือนจะผ่านได้ไม่ยาก แต่ความหวังและพลังใจของทีมก็พังทลายลง เมื่อมาราโดน่าถูกตรวจพบสารเสพติด เขาถูกส่งตัวกลับบ้านหลังจากจบรอบแรก และทีมฟ้า-ขาวก็ต้องกลับบ้านหลังจบรอบสองด้วยความพ่ายแพ้ต่อโรมาเนีย ๓-๒ ปิดฉากฟุตบอลโลกในปีนั้นและปิดฉากฟุตบอลโลกของมาราโดน่าไปตลอดกาล
กลับมาฟิตอย่างเหลือเชื่อในฟุตบอลโลก ๑๙๙๔
ปี ๑๙๙๕ เขากลับมาเล่นให้กับ โบคา จูเนียร์ส ทีมที่เขารักที่สุดอีกครั้ง แต่ก็แทบจะไม่ได้ลงสนาม ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นที่เกรงขามของฝ่ายตรงข้ามเสมอ ชีวิตนักฟุตบอลในช่วงนี้ของเขาแทบไม่เหลือลายในอดีตอีกแล้ว มีเพียงลูกเล่นเล็กๆ น้อยที่งัดออกมาโชว์เป็นครั้งคราว ลีลากระชากลากเลื้อยหรือการพลิกเกมแทบไม่มีให้เห็น อย่าว่าแต่บัญชาเกมเลย แค่ยืนให้ครบ ๙๐ นาทีก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว จนปีใน ๑๙๙๘ เขาก็เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ตลอดช่วงเวลาของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มาราโดน่า กวาดแชมป์มากว่า ๑๓ โทรฟี่ และรางวัลเกียรติยศส่วนตัวอีกมากมายนับไม่ถ้วน
ชีวิตนอกสนามยิ่งเหลวแหลก เขาปล่อยตัวจนอ้วนฉุ อารมณ์ร้าย ติดยาอย่างรุนแรง และมักจะมีเรื่องมีราวกับนักข่าวเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นมาราโดน่าเป็นคนที่รักครอบครัวมาก เขาพยายามเต็มที่ที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของชีวิตครอบครัว ต่อให้วุ่นวายแค่ไหนเขาก็มีเวลาให้ลูกสาวทั้งสองเสมอ
อัลเมย์ด้า นักเตะที่ลูกสาวของเขาชื่นชอบ
มีเกร็ดเล็กๆ เล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง ลูกสาวของเขาขอร้องให้คุณพ่อไปขอลายเซ็นนักเตะทีมชาติคนหนึ่งที่หน้าตาดีพอตัว เขาคือ มัทเธอัส อัลเมย์ด้า มาราโดน่าไม่อยากขัดใจลูกสาว เขายอมทำตามคำขอร้องของลูกแม้ว่าจะเหม็นขี้หน้าอัลเมย์ด้ามากก็ตาม เหตุผลที่เกลียดน่ะเหรอ ก็เพราะอัลเมย์ด้าเคยเป็นนักเตะของริเวอร์เพลท ทีมคู่แค้นของโบคา จูเนียร์ส น่ะสิ
บวมได้อย่างเหลือเชื่อ หมดสภาพนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลก
คนที่สามารถหยอกล้อเล่นสนุกกับคาสโตรได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่
กิจกรรมแสนโปรดคือการตามเชียร์ โบคา จูเนียร์ส ทีมรัก
สุขภาพของเขาย่ำแย่ลงอย่างที่สุด เขาเกือบเสียชีวิตหลายต่อหลายหนด้วยอาการทางหัวใจ ที่สุดแล้วเขาย้ายไปรักษาตัวที่คิวบาซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร จนกลายเป็นคู่ซี้ต่างวัย ที่นี่เขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจนเขาเกือบจะตั้งรกรากที่คิวบาเสียด้วยซ้ำ สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาและคาสโตรเข้ากันได้ดี ก็คือความชิงชังอเมริกาเข้าไส้ เพราะช่วงที่เศรษฐกิจของอาร์เจนติน่าย่ำแย่สุดขีด พวกเขาต้องพึ่งพาไอเอ็มเอฟซึ่งก็คือร่างทรงของอเมริกานั่นเอง
เข้าสู่สหศวรรษใหม่ มาราโดน่ากลับมามีสุขภาพดีขึ้นอีกครั้ง เขาเลิกการเสพยาอย่างเด็ดขาด (จริงหรือ?) เขาดูมีท่าทีที่แข็งแรงและสดใสขึ้น เขาตระเวนออกงานการกุศลต่างๆ และหวนลงสู่สนามอีกครั้งในฟุตบอลการกุศล ท่วงท่าลีลาเก่าๆ ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงสังขารที่ร่วงโรยลงไป
ฟุตบอลโลกปี ๒๐๑๐ ที่จะจัดขึ้นที่แอฟริกา ในรอบคัดเลือก ทีมชาติอาร์เจนติน่าทำท่าว่าจะแย่ เมื่อ อัลฟิโอ บาซิเล่ โค้ชทีมชาติประกาศลาออกกลางคัน เอเอฟเอ ต้องวิ่งวุ่นหากุนซือคนใหม่อย่างรีบเร่ง ใครคนนั้นต้องกล้าพอที่จะเข้ามา รับงานหินชิ้นนี้ ต้องมีอำนาจ มีบารมีเพียงพอที่จะจัดการกับบรรดาซูเปอร์สตาร์ทั้งหลาย ต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั้งชาติ แล้วจะให้เป็นใครล่ะ นอกจากวีรบุรุษของคนทั้งประเทศ ดีเอโก้ มาราโดน่า
มาราโดน่า วันนี้ในบทบาทผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนติน่า
อาจารย์กับลูกศิษย์กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง
คาร์ลอส บิลาร์โด มารับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับเขาในการคุมทีมชาติ
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและประสบการณ์ในการคุมทีมของเขาถูกกลบไปทันที เพราะแรงสนับสนุนของประชาชนที่รักเขาอย่างสุดหัวใจ (ว่ากันว่าถ้าเขาขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็คงได้รับเลือกแหงๆ) แม้เขาจะไม่มีประสบการณ์นัก แต่อาศัยว่าทีมที่ปรึกษาแข็งแกร่งทำให้ทีมมีท่าทางจะไปได้สวย หนึ่งในทีมที่ปรึกษาของเขาก็คือ คาร์ลอส บิลาร์โด อดีตกุนซือทีมชาติชุดฟุตบอลโลก ๑๙๙๖ นั่นเอง
ชีวิตที่เป็นเหมือนนิยายของเขายังไม่จบ มันอาจจะยังเดินทางมาไม่ถึงครึ่งทางเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผิดหรือถูก ก็จะถูกคนทั้งโลกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา บทบาทใหม่ของเขากับการเป็นกุนซือทีมชาติจะไปได้ไกลแค่ไหนยังคงต้องรอการพิสูจน์ เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะเป็นบุคคลประวัติศาสตร์คนต่อไปที่คว้าแชมป์โลกได้ทั้งในฐานะนักเตะและกุนซือ (สองคนแรกคือ มาริโอ ซากาโล่ ของทีมแซมบ้า กับ ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ของทีมเยอรมัน) ชีวิตที่มีทั้งจุด สูงสุดและต่ำสุด น่าจะเป็นอุทธาหรณ์สำหรับเยาวชนว่าจะเลือกเดินทางไหน เพราะชีวิตของเรา เราเองที่เป็นผู้กำหนด ใครก็มาขีดเส้นทางชีวิตให้เราไม่ได้ แม้แต่พระเจ้าก็เถอะ
(มาราโดน่า ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติและร่อนเร่ไปเป็นผู้จัดการสโมสรอีกหลายแห่ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จซักแห่ง)