เดี๋ยวนี้ถ้าเกิดเปรี้ยวปากอยากกิน “ชาเย็น” เมื่อไหร่ก็ดิ่งลิ่วไปจกเอาตามร้านได้อย่างสะดวกดาย แต่ย้อนมานึกถึงสมัยเด็กๆ แล้ว การได้ลิ้มรสชาเย็นซักครั้งถือว่าแสนสุขประหนึ่งขึ้นสวรรค์
แต่ก่อนนั้นเครื่องดื่มจำพวกกาแฟเย็น ชาเย็น ยังไม่มีขายทุกมุมถนนอย่างในตอนนี้ จะกินจริงๆ ก็ต้องแวะเข้าร้านอาโก อาแปะ ยิ่งถ้าเป็นตอนเช้าๆ หรือช่วงเย็นๆ นี่จะขายดีเป็นพิเศษ บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลายในแต่ละชุมชนจะจับกลุ่มกันตามร้านกาแฟ นั่งเม้าท์มอยกันสัพเพเหระอย่างที่มีคนเขาเรียกขานกันว่า สภากาแฟ นั่นไงล่ะ
จนต่อมาเมื่อสังคมมันเปลี่ยนไป ร้านกาแฟแบบที่ว่าก็เริ่มร่อยหรอ กลายเป็นร้านกาแฟทันสมัย ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีกาแฟหลากหลายรสชาติให้เลือก ลองให้อาโกเดินเข้าไปสั่งนี่อาจจะเป็นลมได้ เพราะมันมีให้เลือกมากมายเหลือเกิน แถมยังเป็นชื่อฝรั่งจำยากเสียอีก สู้ร้านแบบเดิมไม่ได้ที่แม้จะมีให้เลือกไม่กี่อย่าง แต่ก็คุ้นเคยกันดีทั้งรสชาติและบรรยากาศ
อาป๊าผมติดโอเลี้ยง ตกบ่ายแกจะเริ่มเรียกใช้ผมให้ไปซื้อโอเลี้ยงขมๆ มากินแก้ง่วง จำได้ว่าผมวิ่งซื้อโอเลี้ยงมาตั้งแต่อนุบาล ผมชอบตรงที่ถ้ามีเศษตังค์ทอนก็จะขอแปลงเป็นท็อฟฟี่หรือขนมจิปาถะ แต่ถ้าครั้งไหนแกให้เงินมาครบเป๊ะก็มีอันอดกิน สมัยโน้นโอเลี้ยงถุงนึงก็สองบาทห้าสิบ ตอนผมโตขึ้นมาหน่อยซักประถมปลายนี่ก็ขึ้นมาที่สามบาท สามบาทห้าสิบ ไล่มาทีละห้าสิบสตางค์ จำได้ครั้งหลังสุดก่อนที่เราจะย้ายบ้านราคาน่าจะอยู่ที่เจ็ดบาท
ผมมาเริ่มแอบดูดโอเลี้ยงของอาป๊าตอนไหนก็จำไม่ได้ รู้แต่ว่าผมจะขอหลอดเฮียซ้งมาสองอัน เฮียซ้งเป็นเจ้าของร้านกาแฟในซอยที่มีอยู่สองร้าน แต่ร้านแกคนจะเยอะกว่าอีกร้านหนึ่งเสมอ ที่ผมขอมาสองหลอดเพราะจะได้แอบดูดโดยที่อาป๊าไม่รู้ เอาแค่พอได้รสนั่นล่ะ ไม่งั้นมันจะพร่องจนถูกจับได้ คงเป็นเหตุผลที่ผมคุ้นลิ้นกับรสชาติโอเลี้ยงขมๆ มาถึงตอนนี้
เวลาสั่งโอเลี้ยงทีไรผมมักจะขอให้ชงแบบแก่ๆ ใส่น้ำตาลนิดเดียวหรือไม่ต้องใส่เลย คนขายเขายังว่ากินไปได้ยังไง แต่ผมว่ามันออกรสหวานเสียด้วยซ้ำไป หรือลิ้นผมมันไม่รู้รสเองก็ไม่แน่ใจ
ร้านเฮียซ้งเป็นตึกแถวห้องเดียว เปิดไฟสลัวๆ ผมไม่เคยเห้นร้านแกเปิดไฟสว่างซักที แกขายของสารพัดอย่างตั้งแต่น้ำปลา ข้าวสาร น้ำตาล ไข่เค็ม ไม้กวาด สารพัดที่จะขาย ตีห้าแกก็เริ่มเปิดร้านละ ผู้เฒ่าในซอยก็เริ่มมานั่งรอใส่บาตรพระ ระหว่างนั้นก็ละเลียดกาแฟร้อน ฟังข่าววิทยุกันไป ผมเคยไปนั่งซดโอวัลตินที่ร้าน รู้สึกว่ามันอร่อยกว่าที่ชงกินเองที่บ้าน ความรู้สึกเดียวกับที่คิดว่าไข่ลวกร้านแกอร่อยที่สุดในโลก เฮียซ้งเป็นคนเงียบๆ ยิ้มแย้มตลอด ผมไม่เคยเห็นแกสวมชุดอื่นเลยนอกจากกางเกงขาก๊วยสีดำกับเสื้อยืดสีมอๆ เวลาเจอกันกับอาป๊าก็มักจะส่งเสียงซาวนด์แทร็กกันสองคน
อีกอย่างที่ผมรู้สึกก็คือชาเย็นร้านเฮียซ้งอร่อยที่สุดในโลก (อีกแล้ว) การได้กินชาเย็นในตอนนั้นต้องนับว่าเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ อย่างเช่นถ้าอาป๊าอารมณ์ดีมากๆ แกก็จะให้แบงค์สิบ ที่เหลือผมก็จะขอแปลงเป็นชาเย็น หรือบางทีถ้าแม่เกิดอยากินขึ้นมาบ้าง ผมก็จะพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ผมชอบดูเวลาที่แกชงกาแฟหรือโอเลี้ยง แกจะชงด้วยถุงผ้ายาวๆ ที่ต้องยกเทไปเทมา ผมทึ่งกับลีลาการชงของเฮียซ้งที่เทกลับไปกลับมาโดยที่ไม่หกซักหยด ถ้าสั่งชาเย็นก็จะไม่ได้เห็นแกยกถุงผ้า ต้องสั่งกาแฟเย็นหรือโอเลี้ยงนั่นล่ะถึงจะได้ดูโชว์แบบนี้
ชาเย็นกับกาแฟเย็นนั้นจะแพงกว่าโอเลี้ยงของอาป๊า ผมไม่รู้หรอกว่ามันแพงกว่ายังไง อาจเพราะมันต้องใส่นมข้นก็ได้กระมัง นมข้นสมัยนั้นกระป๋องละเจ็ดบาทแปดบาทเข้าให้แล้ว จำได้ว่าช่วงหลังๆ ราคาเก้าบาทเจ็ดสิบห้าสตางค์ อันนี้จำแม่นเลยเพราะวิ่งซื้อประจำ ชาเย็นร้านเฮียซ้งจะแพงกว่าโอเลี้ยงบาทนึง จนช่วงหลังๆ เริ่มขยับเป็นสองบาท ดังนั้นนานๆ ทีผมถึงจะได้ลิ้มรสชาเย็นแสนอร่อย เพราะอาป๊าบอกว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือย ก็นึกอยู่นะครับว่าแล้วโอเลี้ยงมันคงไม่ฟุ่มเฟือยอย่างงั้นสินะ อันนี้คิดในใจนะครับ ขืนคิดดังๆ อาจโดนเตะได้
เดี๋ยวนี้ถ้าอยากจะกินชาเย็นขึ้นมาก็ซื้อกินเองได้โดยไม่ต้องง้ออาป๊า แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกอยากกินมากมายเหมือนก่อน บางทีอะไรที่มันได้มายากๆ มันช่างมีค่ามากมายมหาศาล ชาเย็นหนึ่งถุงราคาสี่บาทในตอนนั้น ผมนั่งจิบได้เป็นครึ่งค่อนวัน เพราะไม่อยากให้ความสุขมันจบเร็วนัก ชาเย็นที่ซื้อกินในตอนนี้ ทำไมรสชาติมันไม่ละเมียดเหมือนของเฮียซ้งในตอนนั้นก็ไม่รู้
แบบนี้กระมังที่ชีวิตจึงต้องยุ่งยากซับซ้อน เพื่อจะได้ซึมซับความสุขอย่างละเมียดละไมเหมือนรสชาติชาเย็นของเฮียซ้งในตอนนั้น