หมายเหตุ: บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน จะผิดจะถูกไม่ทราบได้ ยินดีรับข้อคิดจากทุกท่านที่เห็นด้วยหรือเห็นต่าง แต่อย่ามาโวยวายว่าผู้เขียนไม่รู้เรื่องอย่างโน้นอย่างนี้เหมือนโพสต์เก่าๆ เพราะผมบอกแล้วว่าเป็นความเห็นส่วนตัว
เคยเจอกันบ้างไหมครับกับกรณีที่สินค้าดี๊ดี แต่การตลาดห่วยแตก หรือบางแบรนด์ก็งั้นๆ แต่ PR เสียจนเลิศลอย มันจะดีจะห่วยผมคงตอบแทนทุกท่านไม่ได้ ของดีสำหรับบางคนอาจไม่เอาไหนสำหรับอีกหลายคน แต่ส่วนประกอบที่มีความสำคัญว่าเราจะเลือกใช้สินค้าใด หรือกระทั่งกำหนดให้เราเชื่อในสินค้าใดนั่นคือการทำการตลาด ที่มีนักวิชาการหลายท่านมองว่า การตลาดกำลังจะครองโลก เพราะมันแทรกซึมไปสู่ทุกสิ่งอย่างเลยทีเดียว
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เราเลือกที่จะใช้สินค้าใดๆ การตลาดมีส่วนมากทีเดียว หลายคนยังเข้าใจการตลาดว่าหมายถึงแค่การโฆษณาเท่านั้น ความจริงแล้วมันคือเกมที่เล่นกับความรู้สึกของเรา บางอย่างจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่ามันมี เวลาไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต เราหยิบสินค้าบางแบรนด์โดยอัตโนมัติ เคยหยุดคิดไหมครับว่าทำไมเราหยิบยี่ห้อนี้วะ ท่านอาจจะบอกว่า เฮ้ย ก็เพราะใช้เป็นประจำ งั้นจำตอนที่ใช้ครั้งแรกได้ไหมครับ … อะไรที่ทำให้เราเลือกล่ะ
ใน สามก๊ก ที่ผมจะเล่าถึงนี้ผมขอยกสินค้าดีมีคุณภาพ (อย่างที่เขาบอกในเนื้อเรื่อง) แบรนด์แรกชื่อ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง แบรนด์ที่สองคือ บังทอง แฟนนานุแฟนของสามก๊กคงคุ้นกับโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า “ฮกหลง ฮองซู ได้ใครมาสักคนก็สามารถครองแผ่นดินได้” ฮกหลง หรือ มังกรหลับ ก็คือขงเบ้ง ส่วน ฮองซู หรือหงส์ดรุณ ก็คือ บังทอง ถ้าความจำผมไม่เลอะเลือน เล่าปี่ได้ทั้งสองมาเป็นกุนซือรับใช้ แต่ทำไมถึงย่อยยับซะขนาดนั้นล่ะขอรับ
เสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความสามารถของสินค้าสองแบรนด์นี้ขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน แบรนด์ขงเบ้งวางตลาดก่อนด้วยท่าทีจองหองนิดๆ แต่ก็เป็นของจริง รูปลักษณ์ภายนอกสวยสะอาด พกพาไปโชว์ที่ไหนก็ไม่อายใคร กิริยามารยาทพาออกงานได้สบาย สโลแกนที่เป็นจุดขายของเขาคือเป็น ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร อุบะ แบบนี้ใครๆ ก็ต้องแย่งซื้อกันแน่ๆ แต่เท่าที่อ่านดูเห็นจะมีเล่าปี่เพียงคนเดียวนะครับที่อุตส่าห์เดินทางไปเทียบเชิญถึงสามหน ผมเริ่มสงสัยตะหงิดๆ ว่าถ้าสินค้ามันดีจริง ทำไมไม่มีใครมาแย่งตัวไปบ้างล่ะ
ขงเบ้ง เวอร์ชั่นภาพยนตร์ของ จอห์น วู มีดีที่หล่อ (ฮ่า)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประสิทธิภาพของขงเบ้งนั้นเข้าขั้นเกรดเอ พอมาอยู่กับเล่าปี่ไม่นานก็ชนะศึกหลายครั้ง ยึดเมืองเป็นว่าเล่น จนทำให้เล่าปี่ก่อตั้งจ๊กก๊กขึ้นมาได้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าแบรนด์ของขงเบ้งนั้นโฆษณาเกินจริงไปหน่อย ไม่นับเรื่องความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนบุคคลที่ทำให้แผนการอันแยบยลของเขาก็พังไปหลายหน แต่ลืมไปรึเปล่าว่าจุดขายของเขาคือ “ผู้หยั่งรู้” ดังนั้นอย่าเถียง ยังไงขงเบ้งต้องรับผิดไปอย่างน้อยกึ่งหนึ่งล่ะ
ก่อนมาอยู่กับเล่าปี่ ขงเบ้งยังไม่ได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นเลยนะครับ ตอนนั้นบงเบ้งอายุเพียง ๒๗ เป็น ดร.หนุ่มหน้าใสไฟแรง แต่ยังไม่ได้แสดงผลงานเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากวิจารณ์ชาวบ้านเขาไปเรื่อย การตัดสินใจของเล่าปี่จึงนับว่าเสี่ยงมากที่ลงทุนซื้อกองหน้าที่ยังไม่การันตีว่าจะยิงประตูได้ (ประโยคนี้คุ้นๆ) มีแต่เพียงคำโวว่าจะยิงอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ ลองเทียบกับ ป๋าเฟอร์กี้ของ แมนฯ ยูฯ สิครับ หลายตัวที่ป๋าแกซื้อมานั้นมีดีกรีรับรอง แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม แต่คงไม่มีใครเถียงถึงความสามารถและผลงานของ ไบรอัน แม็คแคลร์ เท็ดดี้ เชอริ่งแฮม เอริค คันโตน่า เวย์น รูนี่ย์
ทางฝ่ายบังทองนั้นถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ก็นับว่าสูสีกับขงเบ้ง เสียดายที่เขาเป็นสินค้ามีตำหนิ แม้เครื่องยนต์จะฟิตสตาร์ทติดง่ายก็เถอะ แต่เอาออกไปโชว์ไม่ค่อยได้ ออกงานก็อายเขา อันนี้ต้องโทษทีมผลิตที่ลืมใส่ใจภาพลักษณ์ของสินค้า พอสินค้ามีตำหนิจะเอาอะไรเป็นจุดขายล่ะครับ แม้ว่าประสิทธิภาพจะเท่ากัน ความสวยงามจึงเป็นปัจจัยรองลงมาที่ดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจจิ้มเลือก
ขงเบ้งนั้นดังกว่าบังทอง แต่บังทองออกวาดลวดลายก่อนขงเบ้งนะครับ แต่ตำหนิของเขาทำให้ประธานสโมสรไม่ชอบใจ ไม่ขายทิ้งแต่ก็ไม่ได้ลงสนาม ไม่ได้ไล่ออกแต่ก็ไม่ต่อสัญญา กว่าที่จะได้แสดงฝีมือก็ต้องรอถึงกรณี เจียวก้าน ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีใครนึกถึงบังทองด้วยซ้ำทั้งที่สถานการณ์ศึกเซ็กเพ็กไม่ใช่เรื่องเล็กๆ กระทั่ง โลซก แนะนำนั่นล่ะ
การตลาดของขงเบ้งนั้นไฮโซกว่าแยะ คู่หูดูโอ ฮกหลง/ฮองซู จึงเป็นที่รู้จัก แต่จนแล้วจนรอดฮองซูก็ยังขายออกได้ช้ากว่าอยู่ดี เล่าปี่เห็นสภาพโกโรโสของบังทองครั้งแรกก็ไม่ชอบใจ ไล่ไปอยู่อำเภอชนบทซะงั้น ลูกค้าอย่างเล่าปี่ต้องพะเน้าพะนอเอาใจ จะมาขายตรงไม่ได้ ต้องผ่านนายหน้า หรือไม่ก็ต้องอาศัยทีมขายที่ฉอเลาะเก่ง เล่าปี่ลืมไปเสียสนิทว่าจิ๊กซอว์สำคัญอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ บังเอิญจิ๊กซอว์ชิ้นนี้ไม่งาม แต่พอบังทองแสดงศักยภาพพร้อมหนังสือรับรองของขงเบ้งนั่นล่ะ เล่าปี่ถึงเริ่มยอมรับ
ผมยังไม่นับรวมพฤติกรรมส่วนบุคคลของทั้งสองนะครับ ไม่งั้นจะได้คุยกันยาวแน่