(บทความชุดนี้มีการเพิ่มเติมความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในบางประเด็น จึงโปรดพิจารณาก่อนหากท่านใดจะนำไปอ้างอิง)
จุดเริ่มต้นของการทำสงครามครูเสดนั้นว่ากันหลายตำนาน แต่ที่เหมือนกันคืออ้างเรื่องความขัดแย้งทางศาสนา มูลเหตุหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นไปได้สูงคือการที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกถล่มโดยกองทัพชาวเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๐ จนกองทัพจากยุโรปต้องยกลงไปช่วย
จากที่เคยกล่าวไว้ในตอนแรกถึงเรื่องความเห็นที่ขัดแย้งและการไม่ยอมรับความแตกต่างของศาสนาอื่นๆ และเบื้องหลังอีกชั้นหนึ่งคือการเมืองและอำนาจ ดินแดนอาหรับจัดว่าเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ถูกเรียกขานในพระคัมภีร์ว่าเป็น “ดินแดนแห่งนมและน้ำผึ้ง” ประกอบกับนครเยรูซาเล็มที่พวกคริสต์หมายปองนั้นจัดเป็นดินแดนที่ใครก็อยากจะครอบครอง ลองจินตนาการถึงดินแดนแห่งที่เป็นที่ชุมนุมของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์และศาสนา ที่ต่างก็ให้ความเคารพและหวังจะเดินทางมาแสวงบุญสักครั้งในชีวิต ดังนั้นมันจึงเป็นมากกว่านครศักดิ์สิทธิ์ แต่มันคือขุมทรัพย์ที่จะสร้างรายได้มหาศาล อีกทั้งจะนำมาซึ่งอำนาจ จึงไม่แปลกที่คริสตจักรอยากจะแผ่อำนาจมาให้ถึง แต่ติดอยู่ที่มีชาวอิสลามครอบครองอยู่ก่อนแล้วนี่เอง
จักรวรรดิไบแซนไทน์ที่กล่าวถึงนั้นเดิมทีมีความรุ่งเรืองมาก มีอาณาเขตปกครองครอบคลุมยุโรปใต้มาจนถึงแอฟริกาตอนบน แต่ก็หลีกหนีไม่พ้นความเสื่อมตามกาลเวลา ในสมัยพระเจ้าอเล็กซิออสที่ ๑ โคเมเนอุส (Alexios I Komnenos) จักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกชาวเติร์กรุกรานอย่างหนักจนสามารถล้อมกรุงคอนสแตนติโนเปิลเอาไว้ได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเติร์กก็ยึดเอาดินแดนเอเชียกลางไปได้หมดแล้วด้วย นั่นหมายความว่าอีกไม่ช้าพวกเติร์กก็จะสามารถตีเข้ามายังยุโรปได้อย่างไม่ยากเย็น
พระเจ้าอเล็กซิออสที่ ๑ จึงมีหนังสือลับส่งไปขอความช่วยเหลือจากองค์พระสันตปาปา คือ สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ ๒ ถามว่าทำไมต้องไปขอความช่วยเหลือจากศาสนจักร เพราะในยุคนั้นศาสนาจักรมีอำนาจล้นฟ้า แม้กษัติย์จะเป็นเจ้าชีวิตแต่การกระทำสิ่งใดที่เป็นเรื่องสำคัญๆ นั้น จะต้องขอความเห็นจากศาสนจักรเสมอ เนื่องจากประเพณีความเชื่ออย่างที่เคยว่าไว้ในตอนแรก ยิ่งเป็นเรื่องการเปิดศึกสงครามแล้ว หากได้รับไฟเขียวจากโป๊ป ก็ยิ่งเพิ่มน้ำหนักและข้ออ้างในการทำสงครามได้ดีขึ้นไปอีก
พระเจ้าอเล็กซิออสที่ ๑ โคเมเนอุส(ซ้าย) และ สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ ๒ (ขวา)
ในการนี้เอง สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ ๒ ได้เล็งไว้ก่อนแล้วว่าอีกไม่นานพวกเติร์กที่กำลังขยายดินแดนก็ย่อมกลืนกินเข้ามาเรื่อยๆ การบุกเข้าตีคอนสแตนติโนเปิลก็เปรียบเหมือนการล่วงเข้าสู่ดินแดนของพระเจ้า (คริสต์) เป็นการย่ำยีพระเกียรติของคริสตศาสนจักร หากปล่อยไว้เนิ่นนานก็จะกำแหงและเข้าถึงกรุงโรมเป็นแน่ ยิ่งมีสาส์นของความช่วยเหลือมาแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น และมีเหตุผลเพียงพอที่จะยกทัพไปทำสงครามกับพวกเติร์กได้เสียที
จะว่าไปการรบพุ่งเพื่อแย่งชิงดินแดนในสมัยก่อนก็นับเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะส่วนใดของโลก ผู้เข้มแข็งกว่าก็ย่อมมีสิทธิ์เหนือผู้อ่อนแอกว่าเสมอ ในยุคที่ยังไม่มีการก่อตั้ง “รัฐ” หรือ “ประเทศ” ขึ้นมาตามแบบที่เราเข้าใจในปัจจุบัน ดินแดนแว่นแคว้นแต่ละแห่งต่างเป็นอิสระ เว้นแต่จะถูกครอบครองโดยเผ่าพันธุ์ใด การที่อิสลามบุกเข้ายึดไบแซนไทน์ก็คือผู้รุกรานอย่างแน่นอน ฝั่งไบแซนไทน์หรืออาณาจักรพันธมิตรก็มีสิทธิ์ในการทำสงครามเพื่อปกป้องตนเอง มันก็คือสงครามในนิยามตามปกติ แต่เมื่อศาสนจักรเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดการ สงครามครั้งนี้จึงเปลี่ยนโฉมหน้าไป โดยหยิบเอาเรื่องความศรัทธาในศาสนามาเป็นฉากหน้า ทำให้สงครามครั้งนี้มิใช่การรบเพื่อปกป้องอาณาเขตเท่านั้น หากแต่เป็นการปกป้องศรัทธาและเกียรติภูมิของชาวคริสต์ทั้งมวล และในขณะเดียวกันก็แฝงนัยะแห่งการรุกรานเพื่อแย่งชิงอาณาเขตจากฝ่ายตรงข้าม (อิสลาม) เช่นเดียวกัน