พระธาตุอินทร์แขวน (พระเจดีย์ไจ๊ทีโย : Kyaikhtiyo)
ผมรู้จักพระธาตุแห่งนี้ก็ตอนที่ได้อ่านงานเขียนของอาจารย์เจริญ มาลาโรจน์ (มาลา คำจันทร์) ผมมีโอกาสได้เรียนกับท่านที่ มช. อยู่วิชาหนึ่ง (รู้สึกจะได้ A ซะด้วย .. คุยเสียหน่อย) ไปค้นคว้าดูก็น่าทึ่งจริงๆ ว่าก้อนหินใหญ่โตขนาดนั้นวางอยู่อย่างหมิ่นเหม่บนผาสูง ทำไมไม่ยักกะหล่นลงมา จะว่าเพราะสมดุลก็ใช่ที ภูมิประเทศมันก็ขยับเขยื้อนอยู่ตลอดจะไม่มีโอนเอนบ้างเชียวรึ หรือว่าจะเป็นแผนสมคบคิดของหน่วยงานลับก็ไม่รู้ได้
ความคิดบ้าๆ บอๆ ทั้งหลายผุดขึ้นมาเพียบ มาสรุปเอาตรงที่ว่าโลกใบนี้มันก็อาจจะมีบางสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาค้นคว้าหาคำตอบ สิ่งนั้นคือศรัทธาไงล่ะครับ ถ้าเราเจอคำตอบแล้วเราจะยังศรัทธาอยู่หรือไม่ ถ้าคิดว่าไม่ ก็อย่าไปหามันเลยครับ
จินตนาการที่ไขความลับของพระธาตุที่ผมอุตริคิดมานั้นอย่าให้เล่าจะดีกว่าครับ ปล่อยให้บาปตกอยู่กับผมเพียงผู้เดียวเถิด
ตำนานการสร้างพระธาตุแห่งนี้มีอยู่มากครับ ไปหาอ่านกันเองแล้วกัน สรุปความตรงที่ว่าพระอินทร์เป็นผู้นำหินก้อนนี้มา ‘แขวน’ ไว้ที่หน้าผาแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่ออินทร์แขวน ที่ว่าแขวนเพราะเมื่อก่อนเริ่มมีนั้นมันถูกแขวนให้ลอยเหนือพื้นดินจริงๆ (ตำนานเขาว่า แต่แขวนไว้กับอะไรไม่รู้) สูงขนาดที่ไก่เดินลอดได้ว่าไปนั่น ต่อมาก็เริ่มต่ำลงๆ เหลือเพียงนกลอดได้ จนมาถึงทุกวันนี้ต่ำเตี้ยแทบจะมองไม่เห็นช่องว่าง นัยว่าเพราะมนุษย์ทำกรรมชั่วกันมาก พระธาตุเลยค่อยๆ ลดระดับลง คล้ายๆ กับตำนานของฝรั่งเลยนะครับ ที่ว่าเมื่อก่อนมนุษย์สามารสื่อสารกับพระเจ้าได้ จนเมื่อมนุษย์ทำบาปกันมากขึ้นจึงห่างเหินจากพระเจ้า แต่ตำนานพระธาตุนี่สลับกัน คือยิ่งมนุษย์ทำชั่วมาพระธาตุก็จะต่ำลงๆ มาเรื่อยๆ
เรื่องของตำนานมักจะสอดคล้องกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แต่ตำนานก็มักจะสร้างขึ้นด้วยการเติมแต่งสิ่งที่ดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อเพื่อสร้างความน่าเคารพและเสริมศรัทธา ศรัทธานี่สำคัญนะครับ หากตัดตำนานเรื่องเหลือเชื่อออกไป แค่มนุษย์ยอมเหน็ดเหนื่อยสร้างอะไรสักอย่างบนดอยสูงขนาดนั้นในยุคที่ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยก็เป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างที่สุดแล้ว ถ้าไม่เพราะพวกเขาศรัทธาก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างแล้วล่ะครับ
หลักฐานการสร้างพระธาตุแห่งนี้ไม่ว่าตำราไหนก็ไม่กล้าระบุชัดเจน ว่ากันตามรูปแบบแล้วตัวพระเจดีย์เป็นศิลปะแบบมอญ ที่ต่างจากเจดีย์แห่งอื่นน่าจะเป็นที่ฐาน เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดมากๆ ฐานจึงไม่ได้แผ่กว้างออกเหมือนเจดีย์มอญอื่นๆ องค์ระฆังค่อนข้างเตี้ยเช่นเดียวกับปล้องไฉน โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่ค่อยได้สมดุลกันเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่สวยนะครับ เป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้นที่ผมมองว่าไม่ค่อยสมดุล ถัดจากปล้องไฉนเป็นส่วนของฉัตรและยอดซึ่งผมก็มองว่ารุงรังไปนิดนึง คือหากเป็นพระเจดีย์ขนาดใหญ่ทั่วไปก็พอจะได้สมดุลอย่างพระธาตุมุเตาหรือชเวดากอง ส่วนของฉัตรและยอดจะเติมโน่นนี่จนดูมากมายขนาดไหนก็ยังได้สมดุลเพราะความที่องค์พระเจดีย์สูงใหญ่ แต่กับพระธาตุแห่งนี้ด้วยความที่มีขนาดเล็ก แต่กลับไม่ได้ลดทอนสัดส่วนของยอดลงทำให้ดูไกลๆ เหมือนเป็นเจดีย์ซ้อนเจดีย์ คือส่วนบนนั้นเหมือนจะมีเจดีย์อีกองค์ทับอยู่ (ย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ)
คำถามที่ตามมาก็คือแล้วเขาปีนขึ้นไปสร้างเจดีย์คร่อมเอาไว้ได้อย่างไร คิดมากไปก็ปวดหัวครับ เอาเป็นว่าคนสมัยก่อนเขาทำกันได้ละกัน อย่าได้ถามถึงคนสมัยนี้นะครับ แม้จะมีเทคโนโลยีก้าวหน้า แต่จะสร้างอะไรที่อยู่ยืนยงมาเป็นร้อยๆ ปีแบบนี้ได้สักกี่แห่งก็ยังเป็นปริศนา
ชาวพม่าถือว่าการขึ้นไปไหว้พระธาตุแห่งนี้เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เราจึงเห็นคนพม่านับร้อยนับพันเดินทางขึ้นไปกันทุกๆ วัน ยิ่งรวมกับนักท่องเที่ยวด้วยแล้ว คลื่นมหาชนที่แห่กันขึ้นไปนั้นมีมากเสียจนดูราวกับมีมหกรรมอะไรสักอย่าง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ขึ้นไปไหว้เฉยๆ เขาอยู่ค้างคืนกันเป็นเรื่องปกติ นอนกันตามลานจนแทบจะไม่มีที่ให้เดิน ยิ่งใกล้องค์พระธาตุคนยิ่งเยอะ บนนั้นจึงกลายเป็นชุมชนย่อยๆ สร้างรายได้ให้คนท้องถิ่นไม่น้อย แค่ห้องน้ำหรือโรงอาบน้ำก็ทำเงินได้โขแล้วครับ ไหนจะร้านอาหาร ร้านขายดอกไม้ธูปเทียนที่ขายกันทั้งคืนไม่ต้องหลับต้องนอน
สมัยก่อนจะขึ้นไปบนพระธาตุต้องผ่านสองด่านคือจากตีนดอยบริเวณหมู่บ้านไจ๊โท จะต้องนั่งรถบรรทุกขึ้นไปที่แคมป์คิมปุ่น ตรงนี้ล่ะครับสนุกสนานมาก คนไทยเรียกกันง่ายๆ ว่ารถขนหมู เป็นรถบรรทุกขนาดกลางเอาไม้มาพาดเป็นที่นั่ง เขาจะให้นั่งเบียดๆ กันแถวละ ๖ คน เส้นทางไม่ได้ราบเรียบ ใครกินข้าวอิ่มๆ ห้ามขึ้น ไม่งั้นได้คายของเก่าแน่นอน พอไปถึงแคมป์ก็จะต้องต่อรอบสองด้วยการเดินหรือขึ้นเสลี่ยง คนแบกก็คือคนพื้นถิ่นนั่นล่ะครับ เขาว่าเป็นการดูแลโดยหน่วยงานของรัฐ รายได้แบ่งกันคนละส่วน ชาวบ้านเขาก็ชอบครับ รายได้ดีมาก วันนึงๆ มีคนจ้างหลายราย แต่ปีนี้ (๒๕๕๖) เขาว่าให้ยกเลิก และอนุญาตให้เอารถขึ้นไปจนถึงยอดได้เลย ทีนี้ชาวบ้านก็รายได้หด
อีตอนที่เขามีบริการเสลี่ยงนั้นว่ากันว่าเพื่อเป็นรายได้ให้ชาวบ้าน เพราะจริงๆ แต่เดิมรถก็สามารถขึ้นไปถึงยอดดอยได้แต่ไม่อนุญาตซะงั้น ต่อมามีการตัดทางใหม่ให้รถขึ้นได้ง่ายขึ้น แต่กลับยกเลิกเสลี่ยง ก็ไม่เข้าใจว่าแล้วชาวบ้านเขาจะได้หารายได้จากไหนล่ะเนี่ย ถ้าเป็นบ้านเรามีหวังก่อม็อบแน่ๆ ดังนั้นรายได้ที่พอจะหาได้คือรับจ้างแบกกระเป๋าให้นักท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวขี้เกียจแบกกันอยู่แล้วก็รับทรัพย์กันไป แต่ก็ต้องแย่งกันหน่อย
ส่วนใครที่อยากจะลองนั่งเสลี่ยง เขาก็ยังมีอยู่ แต่ว่าน้อยเต็มทน ก็ยังไม่เข้าใจว่าตกลงจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกกันแน่ ก็อย่างว่า เขาสั่งมายังไงก็ต้องทำตาม ไม่งั้นขืนเขาห้ามไปหมดชาวบ้านก็อดรายได้ แถมเรียกร้องอะไรมากก็ไม่ได้ นักท่องเที่ยวไทยที่แสนจะใจดีก็เลยดูราวกับเป็นเทพมาโปรด เพราะคนไทยใจดีทิปเยอะ
** เนื้อเรื่องเต็มๆ และข้อเขียนชุดประวัติศาสตร์พม่า จะตามมาภายหลัง ท่านที่สนใจโปรดติดตาม **
ดูจากภาพอาจจะรู้สึกเฉยๆ ถ้าได้เห็นของจริงจะยิ่งชวนฉงนว่าตั้งอยู่ได้อย่างไร
ตัวพระธาตุนี้อนุญาตเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่เข้าไปปิดทองได้
เจ้าแม่ชเวนันจิน เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกราบ โดยเฉพาะคนไทย
ว่ากันว่าเจ็บป่วยตรงไหนก็ไปลูบที่ตัวเจ้าแม่ แล้วจะหายดี คนพม่าเขาก็มาเยอะเหมือนกัน
เห็นพ่อแก่แม่เฒ่ามาลูบกันมากมายตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฝั่งตรงข้ามกับพระธาตุมีทางเดินลาดลงไปสองข้างทางเป็นร้านรวงเปิดเกือบทั้งคืน
ส่วนใหญ่ก็เป็นร้านอาหาร ขายของที่ระลึก คนเดินกันทั้งคืน
ที่ฮอตสุดๆ คือร้านรับจ้างชาร์จแบตมือถือ ไอเดียเลิศมาก
ขนมจีนพม่า อากาศเย็นๆ มานั่งกินขนมจีนร้อนๆ คงอุ่นพุงพิลึก
มีของทอดนานาชนิดเป็นเครื่องเคียง น้ำยาของบ้านเขาดูข้นๆ ขุ่นๆ บอกไม่ถูก
กลิ่นหอมแต่ไม่เหมือนบ้านเรา เห็นว่าใส่หยวกกล้วยต้มลงไปด้วย เส้นเป็นเส้นแบนไม่กลมเหมือนอย่างเรา
เด็กแว้นพม่า … ใครขึ้นไปบนพระธาตุจะเห็นการเล่นยอดฮิตคือรถบังคับวิทยุ
ทั้งเด็กเล็กเด็กโตเล่นกันสนุกสนาน มีจับกลุ่มเป็นแก๊งค์ซะด้วย เดินๆ ไปก็ต้องระวัง
ขืนไปเหยียบรถเขาพังจะโดนตีนพม่าเอาได้ง่ายๆ
ไม่ใช่ศูนย์อพยพที่ไหนนะครับ นี่คือชาวพม่าผู้ศรัทธาพระธาตุมานอนค้างคืนกัน
เป็นอย่างนี้ทุกวัน ยิ่งช่วงวันหยุดจะยิ่งมาก คือกะว่าเช้าขึ้นมาพระอาทิตย์โผล่หน้ามาหน่อยนึง
ก็ลุกขึ้นมาไหว้พระธาตุ นั่งสมาธิ สวดมนต์กันเลย บางคนก็นั่งสวดมนต์ทั้งคืนก็มี
ไกด์ท้องถิ่น (เด็กแถวนั้นล่ะ) บอกว่านี่คือพระฤาษี เป็นอีกลัทธิหนึ่งที่ยังมีอยู่ในพม่า
แต่ไกด์จริงๆ บอกว่า บางทีต้องดูด้วยว่าเป็นฤาษีจริงรึเปล่า แต่เราก็ไม่รู้หรอก ดูไม่ออก
ถ้าไปกับกรุ๊ปทัวร์เขาจะเหมารถสภาพดีมาให้นั่ง สภาพใหม่แล้วก็มีที่นั่งแข็งแรง
มีราวให้จับ แต่ก็ยังหนาแน่นเหมือนเดิม ถ้าเป็นรถเก่าจะไม่มีราวให้จับ
ต้องอาศัยนั่งกันเบียดๆ จะได้ช่วยประคองไม่ให้ร่วงหล่น
บริเวณตีนดอยที่หมู่บ้าน ชาวบ้านเขารอคอยคิวรถ
แอบถ่ายสาวพม่าหน้านวล
ไม่ใช่เก็บส่วยหรือเก็บค่าผ่านด่าน แต่เป็นการบอกบุญ ทุกครั้งที่รถจอดจะต้องมีคนมาขอเรี่ยไรบุญ
ทุกที่จะบอกว่าเอาไปสร้างศาลา ดูในขันเห็นมีเงินไทยเพียบ มากกว่าเงินพม่าด้วยซ้ำ
เขารู้ว่าคนไทยใจบุญ ทำบุญหนัก แบงค์ยี่สิบนี่มากที่สุด เทียบกับบ้านเขาก็พันจ๊าตแล้ว
แต่ก็อดคิดอกุศลไม่ได้ แหม ทำบุญกันมากขนาดนี้ทุกวันๆ แบบนี้ศาลาเต็มประเทศกันพอดี