ศาสนาเป็นเรื่องอ่อนไหว จะแตะจะต้องหรือทำอะไรก็ต้องมองซ้ายมองขวาให้ดี แต่ฮอลลิวู้ดก็ไม่เคยเข็ดที่จะหยิบเอาเรื่องศาสนามาทำเป็นภาพยนตร์ ไม่ว่าจะศาสนาอะไรก็ตาม แม้กระทั่งกับศาสนาคริสต์ที่ตะวันตกนับถือกันก็ถูกฮอลลิวู้ดหยิบมาเล่นกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ได้รับเสียงชม บ้างก็ได้ก้อนอิฐ แต่ส่วนใหญ่ผู้คนก็สรรหาประเด็นมาถกกันให้มันเป็นเรื่องจนได้อยู่ดี
ล่าสุดอินโดนีเซียประกาศแบน Noah หนังฟอร์มยักษ์ที่ว่าด้วยตำนานน้ำท่วมโลก โดยให้เหตุผลว่าในเนื้อเรื่องมีการแสดงตัวตนของผู้พยากรณ์ ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงพระเจ้า ซึ่งขัดต่อทัศนะของชาวมุสลิมที่มองว่าไม่ควรแสดงตัวผู้พยากรณ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม และบางข่าวก็เห็นว่าเพราะมีเนื้อหาบางส่วนขัดต่อความเชื่อและอาจสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ผู้ชม เรื่องนี้ชาวมุสลิมค่อนข้างจะเคร่งครัดมาก ผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะครับว่าเหตุผลที่แท้นั้นคือตรงไหน แต่ก็ควรยอมรับการตัดสินใจของพวกเขา อย่างที่บอกว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องเปราะบาง หากเราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็อย่าไปตัดสินอะไรทั้งสิ้น
บางท่านอาจสงสัยว่ามุสลิมกับคริสต์ไม่เกี่ยวกันนี่ แท้จริงแท้หากย้อนไปในอดีตทั้งสองศาสนามีต้นกำเนิดเดียวกัน บางตำราบอกว่ามีพระเจ้าองค์เดียวกันด้วยซ้ำนะครับ เพียงแต่มีพระนามที่ต่างกันและมีสถานะที่ต่างกัน ใครสนใจแบบละเอียดต้องค้นคว้ากันหนักหน่อยล่ะครับ ผมเองก็ไม่ใช่ทั้งคริสต์และมุสลิม จึงไม่อาจระบุรายละเอียดได้มากนัก
แต่ประเด็นที่จะเล่าถึงคือเรื่องของศาสนาบนแผ่นฟิล์มนี่ล่ะครับ อ่านเจอใน TIME ฉบับเดือนมีนาคม ๒๐๑๔ มีสกู๊ปที่ว่าด้วยเรื่องนี้เอาไว้ เขายกตัวอย่างหนังที่ว่าด้วยพระคริสต์เอาไว้ให้เห็นเป็นกรณีศึกษาด้วย เลยหยิบมานำเสนอกันสักหน่อย
The Ten Commandments (๑๙๕๖) ชื่อไทยว่า บัญญัติสิบประการ เล่าเรื่องราวของ โมเสส ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้ว ภายหลังจากที่รอนแรมหนีจากแผ่นดินอียิปต์มายังดินแดนอิสราเอลในปัจจุบัน โมเสสก็ขึ้นเขาไปเพื่อพบกับพระเจ้าแล้วก็ได้บัญญัติสิบประการลงมาอันเป็นที่มาของชื่อเรื่องนี่ล่ะครับ เรื่องนี้คลาสสิกมาก เป็นหนังที่ไม่ค่อยมีใครด่านักนะครับ อาจเป็นเพราะเขาสร้างตามตำนาน แล้วในยุคนั้นก็ยังไม่มีสื่อมากมายอย่างในปัจจุบันด้วย ฉากตระการตาสุดๆ ก็คือตอนที่ โมเสส (แสดงโดย ชาร์ลตัน เฮสตัน) ผ่าทะเลพาชาวยิวหนีนั่นล่ะครับ
The Greatest Story Ever Told (๑๙๖๕) หลังจากความสำเร็จของ The Ten Commandment ก็เลยมีการสร้างหนังเกี่ยวกับศาสนาออกมาเพียบ เรื่องนี้เล่าถึงตัวพระคริสต์ ฉากเด็ดก็น่าจะเป็นตอนที่พระองค์แบกไม้กางเขนและโดนทรมานจากทหารโรมันนั่นล่ะครับ หนังเป็นที่วิจารณ์พอสมควร ซึ่งก็เป็นด้านลบแน่ๆ แล้วก็ไม่ถึงกับประสบความสำเร็จนัก
The Last Temptation of Christ (๑๙๘๘) ถูกจับตามองเพราะมีผู้กำกับชื่อ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เดิมทีเขาวางตัวดาราคู่บุญอย่าง เดอ เนโร ให้มารับบทพระคริสต์ แต่ เดอ เนโร ไม่เอาด้วย เลยไปได้ วิลเลี่ยม เดโฟ มาเล่นแทน เรื่องนี้สกอร์เซซี่ใส่ความเป็นดราม่าลงไปเต็มพิกัด ผมเข้าใจว่าเขาต้องการจะให้เห็นเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่าพระองค์ต้องพบกับอะไรมาบ้าง แต่เรื่องแบบนี้จะเอามาเล่นเป็นดราม่าก็เห็นจะยาก หนังยังถูกวิจารณ์เรื่องความสมจริงอีกต่างหาก อย่างฉากที่พระคริสต์ถูกตรึงกางเขน กลับถูกตอกตะปูที่ฝ่ามือแทนที่จะเป็นข้อมือ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าถ้าทำแบบนี้ยึดไม่อยู่แน่นอน อันนี้คนดูเขาก็ช่างจับผิดกันเหลือเกินเลยนะเนี่ย
The Passion of the Christ (๒๐๐๔) เมล กิ๊บสัน ดาราและผู้กำกับรางวัลออสการ์หยิบเอาประวัติของพระคริสต์มาทำอีกรอบ คราวนี้ได้ จิม คาวีเซล มารับบทหนัก หนังเน้นความทุกข์ยากและเจ็บปวดของพระองค์ขณะที่ถูกทรมานโดยทหารโรมัน อาจเพราะเทคนิคการทำหนังยุคใหม่ที่สมจริงเกินห้ามใจ ว่ากันว่ามีบาทหลวงหัวใจวายขณะดูหนังเรื่องนี้ หนังได้รับคำวิจารณ์ทั้งบวกและลบ ซึ่งด้านลบนั้นก็เพราะว่ากันว่าเนื้อหาถูกบิดเบือน (อีกแล้ว)
Evan Almighty (๒๐๐๗) เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือพระคริสต์โดยตรง แต่หยิบเอาตำนานน้ำท่วมโลกมาล้อโดยให้ดาราตลก สตีฟ คาเรลล์ มารับบท โนอาห์ แห่งศตวรรษที่ ๒๑ โดยเขารับบทเป็นนัการเมืองหนุ่มที่ดันได้ข่าวจากพระเจ้าว่าน้ำจะท่วมโลก เขาจึงต้องสร้างเรือยักษ์โนอาห์ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว หนังฮาได้ระดับหนึ่ง ถึงจะถูกด่าบ้างแต่ก็ไม่รุนแรง คงเพราะเน้นที่ตัวคาเรลล์มากกว่า แล้วมันก็เป็นหนังตลกด้วย
Son of God (๒๐๑๔) ดัดแปลงเป็นซีรี่ส์ทางทีวี เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวประวัติของพระคริสต์เหมือนเดิม อัดบทดราม่าเข้าไปตามสไตล์ ตัวหนังยังไม่ออกฉาย (หรือฉายไปแล้ว ผมไม่รู้) แต่ก็เชื่อว่าประเดี๋ยวก็มีเสียงวิจารณ์มาอีกจนได้ ประเด็นที่ถกเถียงกลับไปอยู่ตัวซาตาน เพราะคนที่มารับบทซาตานดันมีหน้าตาเหมือนประธานาธิบดี บารัค โอบามา งานนี้เลยวุ่นกันยกใหญ่ อันนี้ก็ไม่รู้ความผิดใครนะครับ
คนทำหนังบ้านเราเองก็เคยโดนดีจากกรณีที่เอาศาสนามาใส่ในหนังอยู่บ้างครับ แต่ก็นานๆ ที เพราะคนทำหนังก็คงจะรู้ดีครับว่าควรหรือไม่ควร แต่ก็เป็นประเด็นร้อนอยู่บ้าง อย่างเช่น โกยเถอะโยม (๒๕๔๙) ของคุณจาตุรงต์ มกจ๊ก ที่ถูกด่าว่าเอาพระมาเล่นวิ่งหนีผี นาคปรก (๒๕๕๓) อันนี้ก็แรงสุดๆ ว่าด้วยโจรใจบาปที่ปลอมเป็นพระเพื่อหนีตำรวจ คุณเรย์ แม็คโดนัลด์ สวมบทพระปลอมอย่างเหี้ยได้โล่ และล่าสุด ฝนตกขึ้นฟ้า (๒๕๕๔) กำกับโดย คุณเป็นเอก รัตนเรือง ที่หยิบเอาผลงานของนักเขียนซีไรต์ วินทร์ เลียววาริณ มาดัดแปลง ฉากที่ถูกวิจารณ์ก็คือฉากที่ตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นมือปืน ปลอมตัวเป็นพระเข้าไปไล่ยิงเหยื่อในฉากต้นๆ ของเรื่องเลยล่ะครับ จีวรงี้ปลิวเชียว
เอาเป็นว่าโดยส่วนตัวผมเองนั้นไม่ถึงกับเคร่งจัดนัก เพราะผมพยายามแยกระหว่างความจริงกับภาพมายา แต่ก็อีกนั่นล่ะครับ ศาสนาเป็นเรื่องเปราะบาง ต่อให้เป็นการแสดง ประชาชนหลายคนเขาก็รับไม่ได้อยู่ดี อันตรายจะตกอยู่กับเยาวชนที่เขายังขาดวุฒิภาวะในการแยกแยะ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าการนำเรื่องศาสนามาใส่ในหนังคงยังมีอยู่ต่อไปล่ะครับ ขึ้นอยู่กับว่าคนทำหนังเขาจะทำได้เนียนแค่ไหนและหยิบประเด็นไหนมานำเสนอมากกว่า