เรื่องของกล้วยแขกดันมาเป็นเรื่องเมื่อมีคนหัวใสเปิดการขายแบบ Direct Sale ขึ้น เมื่อขายดีก็เลยมีการขยายวงกว้างขึ้นทั้งจากผู้ขายเจ้าเดิมและเจ้าอื่นๆ ที่ทำตามๆ กันมา จนเกิดเป็นปัญหาขึ้น เพราะเขาเล่นขายกันบนท้องถนน ขายกันมากขนาดที่ทำให้รถติดได้ก็แล้วกัน เซลส์แมนขายกล้วยเหล่านี้จะถือถุงกล้วยแขกเต็มสองมือเดินเร่ขายเวลารถติด บรรดาผู้ใช้รถใช้ถนนที่กำลังเซ็งกับการจราจรที่ติดขัดก็อดไม่ได้ที่จะกวัก มือเรียกซื้อมากินเล่นทีละถุงสองถุง บางทีไฟแดงแล้วแต่รถยังไม่ขยับเพราะมัวแต่ซื้อขายกันอยู่ หรือไม่ก็มัวแต่ควักหาเงินทอนกันอยู่ วุ่นวายเสียจนหลวงท่านต้องออกเป็นประกาศห้ามขายบนท้องถนนกันเลยทีเดียว
แต่ตามประสาตำรวจไทย กวดขันกันได้พักเดียวก็เลิก เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเร่ขายกันตามปกติ ไม่เห็นมีผู้รักษากฎหมายคนไหนมาจับเหมือนช่วงแรกๆ ซักคน
เดิมทีนั้นเวลาจะไปทำธุระแถวแยกจักรพรรดิพงษ์ เวลาเรียกรถรับจ้างก็มักจะต้องอธิบายกันยาวว่าอยู่ตรงไหน แต่พอบอกว่าไปแยกกล้วยแขก ก็ร้องอ๋อกันทุกราย เป็นที่ทราบกันว่าอยู่ตรงไหน ก็เห็นเป็นประจักษ์ว่าแยกนี้เขาดังเรื่องกล้วยแขกขนาดไหน เริ่มจากร้านดังร้านเดียว (ขอสงวนนาม) ก็ขยายกิจการกระจายอยู่เต็มถนน ทั้งร้านเก่าแก่และร้านเปิดใหม่ แต่ว่าทุกร้านต่างก็การันตีคุณภาพว่าเป็นร้านเก่า เจ้าเก่า ต้นตำรับเสียทั้งสิ้น ส่วนที่สงสัยว่าทำไมต้องเป็นที่แยกนี้นั้นจนปัญญาที่จะสืบเสาะจริงๆ อาจเป็นไปได้ว่าแถวนั้นรถติดเป็นประจำอยู่แล้ว จากที่ตั้งแผงขายริมถนนรอให้ลูกค้าเรียกไปส่งถึงรถ ก็พลิกวิกฤตรถติดให้เป็นช่องทางการค้ามันเสียเลยกระมัง
เดี๋ยวนี้ธุรกิจกล้วยแขกได้ลุกลามไปยังแยกอื่นๆ แล้ว ลามจากนางเลิ้งเรื่องมาบริเวณหน้าสนามม้า โรงพยาบาลมิชชั่น แยกอุรุพงษ์ จนถึงแยกกระทรวงการต่างประเทศ ไม่รู้ว่าลามไปถึงที่ไหนแล้วมั่ง หรือจะไปจังหวัดอื่นแล้วก็ไม่รู้ได้
สังเกตได้ว่าคนที่มาเร่ขายนั้นไม่ใช่คนจากร้านค้าโดยตรง จะมีพวกมือปืนรับจ้าง คือรับมาขายแล้วหักเปอร์เซนต์ แล้วคุณภาพก็ลดลงอย่างน่าใจหาย ตามปรกติหนึ่งถุง สนนราคาที่ ๒๐ บาท จะประกอบไปด้วยสองถุงย่อย (ไม่รู้จะย่อยทำไม) ราคานี้ตลอดไม่ว่าจะเป็นกล้วยแขกสินค้าหลัก หรือมันทอด เผือกทอด ข้าวเม่าทอด ไข่นกกระทา แต่ไม่นานมานี้ไปเจอเซลส์ที่ไร้คุณธรรมเข้าให้คนหนึ่ง ด้วยความบังเอิญเห็นเขาเดินขายอยู่หน้าตลาดพอดี จึงกวักมือเรียกซื้อ เตรียมเงินไว้ ๔๐ บาท กะว่าสองถุงแน่ๆ ปรากฎว่าเขายื่นให้ ๑ ถุง บอกว่าถุงละ ๔๐ บาท แถมยังคะยั้นคะยอจะให้ซื้ออีก ๑ ถุง เพราะเราดันบอกไปว่าจะเอา ๒ ถุง แต่พอเห็นว่าถุงละ ๔๐ ก็เล่นเอาสะอึก ครั้นจะเปลี่ยนใจไม่ซื้อเลยก็เกรงจะมีปัญหา เพราะท่าทางแกเอาเรื่องอยู่ ที่เจ็บใจสุดๆ คือในถุงย่อยสองถุงนั้นประกอบไปด้วยกล้วยทอดเหี่ยวๆ เหมือนกล้วยค้างคืนเย็นชืด นับซ้ำไปซ้ำมาหลายหนเพื่อความมั่นใจพบว่ามีอยู่ ๑๐ ชิ้นถ้วน ในใจได้แต่คิดว่าโชคร้ายแท้ๆ เชียวที่มาเจอเซลส์ขายกล้วยแบบนี้ เดือนถัดมาไปแถวนั้นอีกที คราวนี้ตรงไปที่ร้านที่ขึ้นชื่อที่สุด ปรากฎว่าราคาถุงละ ๒๐ บาทไม่เปลี่ยน และคุณภาพยังแน่นเปรี๊ยะ แถมยังใจดีแถมให้อีกด้วย ถามดูก็ได้ความว่ามีทั้งร้านและพวกเซลส์ที่เอาเปรียบลูกค้าแบบนี้อยู่จริง ก็จึงแนะว่าถ้าไม่ไกลเกินไปนักอยากให้มาซื้อที่ร้านจะดีที่สุด
น่าดีใจที่กล้วยทอดธรรมดาๆ กลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ที่ดีให้แก่ชุมชน เป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นที่ดี แต่ก็น่าเศร้าที่ยังมีคนบางกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์เยี่ยงนี้ ขาดสติ จนกลายเป็นจุดด่างพร้อยของชุมชนที่เขาอุตส่าห์สร้างชื่อกันมาเป็นเวลานาน
ทำไมถึงเรียก กล้วยแขก ก็ไม่ทราบที่มาแน่นอน ที่ลองๆ ค้นหาดูก็ยังไม่ปรากฎข้อสรุปที่แน่ชัด บ้างก็ว่าเพราะแขกเป็นคนขาย บ้างก็ว่าคนแขกเป็นผู้คิดค้น บ้างก็ว่าดัดแปลงมาจากอาหารของชาวอินเดีย ก็แล้วแต่ว่าใครจะหาเหตุผลใดมาประกอบ แต่ที่พอจะเป็นไปได้ก็คือข้อสรุปที่ว่าเป็นการคิดค้นโดยคนแขกหรือชาวอินเดียที่มาตั้งรกรากที่เมืองไทย เนื่องจากอาหารประเภททอดก็ไปกันได้ดีกับชาวแดนภารตะที่นิยมอาหารที่มีไขมัน โดยนำกล้วยที่มีอยู่มากมายในไทยมาผสมกับแป้งและกากมะพร้าวนำไปทอดรับประทาน คนไทยเลยเรียกตามคนขายว่ากล้วยแขก ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าที่อินเดียเองนั้นมีกล้วยแขกขายด้วยเหรือเปล่า
ถ้าจะคิดแบบเข้าข้างคนไทยเสียหน่อย ก็เป็นไปได้ที่กล้วยแขกน่าจะทำขึ้นโดยชาวสยามนี่แหละ เพราะกล้วยบ้านเรานั้นมีมากมายเหลือเกิน ตลอดจนความคิดในการดัดแปลงสร้างสรรค์เมนูอาหารของชาวไทยก็ไม่เป็นรองใคร แต่สูตรการทำนั้นอาจจะหยิบยืมมาจากอาหารของชาติอื่นบ้าง เนื่องด้วยวัฒนธรรมการทำอาหารประเภททอดของชาวไทยนั้นไม่เป็นที่นิยมนัก